วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2549

ความในใจ...คุณแม่มือใหม่

ความในใจ...คุณแม่มือใหม่ 16/7/2551

กลับมาเจอกันอีกแล้วนะคะ หลังจากข้ามไม่ได้ส่งเรื่องไปหนึ่งฉบับ เพราะช่วงนั้นชีวิตกำลังวุ่นวายมากๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เวลาจะให้ตัวเองแทบจะไม่มี เป็นสาเหตุให้นำมาสู่เรื่องในฉบับนี้ จริงๆเคยเกริ่นเอาไว้ว่า จะไม่พูดเรื่องท้องไส้แล้ว เพราะคิดว่าฉบับถัดมายังไม่ถึงกำหนดคลอด ความรู้ยังไม่แน่นพอ เลยว่าจะเขียนเรื่องอื่น แต่ฉบับนี้อั้นเรื่องนั้นไม่ได้แล้ว เพราะพึ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ กลายเป็นประสบการณ์พร้อมเสิร์ฟมาเล่าให้ทุกคนฟัง บางจุดก็อยากจะแนะนำคนท้องด้วยว่า ช่วงใกล้ๆคลอด ให้ดูแลตัวเองให้ดีมากๆนะคะ

เขียนมาถึงตรงนี้ก็เดาถูกกันแล้วไช่ไหม ใช่แล้วล่ะคะ คลอดแล้ว คลอดก่อนกำหนดไป 1 เดือน แบบที่ไม่ทันตั้งตัว สาเหตุคือน้ำคร่ำรั่วก่อนกำหนด จริงๆแล้วมันมีลางบอกเหตุมาได้สักพัก เริ่มจากมีเจ็บเตือนตั้งแต่เดือนเมษา ความดันก็สูงตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งที่กำหนดคลอดกลางเดือนมิถุนา ไปตรวจอีกสองครั้งความดันก็สูงขึ้นตลอด จนอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภา ประมาณ 4 ทุ่ม เข้าห้องน้ำอยู่ดีๆก็มีน้ำไหล แบบไม่ได้เบ่งล่ะคะ ไหลเป็นสายเลยทีเดียว ตกใจสิคะ รีบร้อนออกจากบ้านไปโรงพยาบาลทันที ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ตอนนั้นคงชะลอความตกใจ แล้วล้างหน้าล้างตา ล้างเครื่องสำอาง อาบน้ำสักหน่อย เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แล้วค่อยไปโรงพยาบาล ใครจะรู้เลยว่า หลังจากไปถึงโรงพยาบาลแล้ว ดิฉันจะไม่ได้ลงจากเตียงอีกเลยเป็นเวลาสองวัน

เกิดมาไม่เคยคิดเลยว่าจะคลอดลูกออกมาก่อนกำหนด เพราะหลานๆทุกคนก็สุขภาพแข็งแรง ออกมาครบเทอมกันทุกคน เลยชะล่าใจว่าตัวเองแข็งแรงดี ถึงหมอจะบอกสาเหตุว่า หนึ่ง เป็นโรคที่เกิดกับกลุ่มคนเศรษฐฐานะต่ำ ต้องใช้แรงงานเป็นหลัก และสอง อาจจะเกิดการติดเชื้อ แล้วมีวีคพอยท์พอดี เลยรั่ว แต่ส่วนใหญ่แล้วคือ ไม่รู้สาเหตุแน่นอน ถึงหมอจะบอกอย่างนี้ก็เถอะ แต่คนเป็นแม่อย่างเราถือเป็นเรื่องที่โทษตัวเองไม่มีวันจบวันสิ้น เพราะก่อนหน้านั้น คิดแต่ว่าตัวเองแข็งแรงตลอด ทำโน่นทำนี่ไม่หยุด เดินก็เยอะ ไปนั่งตากแดดในตลาดสดเรียนโน่นเรียนนี่เป็นสองสามชั่วโมงก็ทำ พักผ่อนก็น้อย เวลานอนคือเที่ยงคืน พอนึกย้อนกลับไปแล้วก็ได้แต่โทษตัวเอง อยากจะบอกสาวๆท้องแก่ใกล้คลอดว่า พักผ่อนให้เยอะนะคะ งานการไม่ต้องไปซีเรียสหรือทำอะไรมาก อย่าคิดว่าตัวเองแข็งแรงตลอดเวลา เพราะพอถึงจุดที่ร่างกายมันรับไม่ไหวก็จะส่งผลให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น แล้วจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขไม่ได้

เอาเป็นว่าท้องแก่ๆก็ดูแลตัวเองแล้วกันนะคะ เล่าต่อ วันนั้นไปโรงพยาบาลดึกๆ ต้องเข้าไปนอนที่ห้องคลอดเลย หมอสั่งยาฆ่าเชื้อให้ทุกๆ 6 ชั่วโมง แล้วบอกว่ารอดูอาการก่อน วันถัดมาหมอก็มาตรวจ แต่ก็ให้รอดูอาการอีกที หมอบอกว่าบางทีถ้าตรงที่รั่วมันสามารถรักษาตัวเองได้ก็อาจจะรอไว้ก่อน เวลาที่ทารกอยู่ในครรภ์แม่ถึงจะได้วันสองวันก็มีค่ามาก พยาบาลบอกว่ามีบางเคส ถ้าหยุดรั่วก็ให้ขึ้นไปนอนรอที่ห้องผู้ป่วยด้านบน บางคนนอนสองอาทิตย์ ก็ยังมี เลยถามพยาบาลต่อว่าอย่างงี้แสดงว่าไม่มีสิทธิ์กลับบ้านเลยใช่ไหม พยาบาลบอกว่า นอกจากไม่มีสิทธิ์แล้ว ยังห้ามไม่ให้ลงจากเตียงขยับตัวมากมายอีกด้วย เอ้า....เลยเป็นอันว่าจนถึงเวลาคลอด ไม่ต้องได้ไปไหนกันล่ะ

เช้าวันถัดมาเป็นวันอาทิตย์ ผลตรวจเลือดบอกว่าอาจมีโอกาสติดเชื้อ หมอสั่งพยาบาลให้ฉีดยาเร่งคลอดได้ เราก็หูแหกตาแหกเลยสิ แม่บอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า ถ้าต้องคลอดวันเสาร์ (เมื่อวาน) เด็กเกิดวันนี้ สวรรค์ในอกนรกในใจ แปลว่าอะไรเนี่ย เคยได้ยินมาว่า ถ้าน้ำคร่ำรั่วต้องคลอดใน 24 ชั่วโมง ถ้าคลอดใน24ชั่วโมงนั้นล่ะก็ สวรรค์ในอก นรกในใจแน่ แต่ถ้าคลอดวันอาทิตย์ จุดเด่นคือสติปัญญาล้ำเลิศ ส่วนวันจันทร์ ชีวิตรุ่งโรจน์รุ่งเรือง แก่มาสบาย แม่บอกคลอดวันจันทร์นี่แหละดี แน้... มีเลือกวันได้ด้วยตัวเอง
พอหมอบอกคลอดวันอาทิตย์ เราก็บ้าจี้นะ บอกพยาบาลให้ไปบอกหมอว่าคลอดวันจันทร์ได้ไหม พยาบาลจะฉีดยาเร่งคลอดก็โอ้ย อย่าๆๆ อย่าพึ่ง ขอต่อรองกับหมอก่อน ระหว่างรอหมอมา เหมือนได้คิด อีนี่บ้านะ ลูกจะออกมาอยู่แล้วยังไปอั้นไม่ให้เธอออกอีก เกิดติดเชื้อขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ พอหมอมา หมอถามว่าจะคลอดวันจันทร์เหรอ อุ้ย... หมอก็เอาด้วยนะ เลยบอกว่า ไม่เป็นไรหมอ วันนี้ก็วันนี้ค่ะ สติปัญญาล้ำเลิศ แหม... ยังอุตส่าห์มีอารมณ์ขัน หมอเลยสั่งฉีดยาเร่งคลอด พอได้รับยาก็รู้สึกปวดขึ้นปวดขึ้น ตอนแรกก็ยังคุยเล่นกับแฟนเฮฮาไป สักหน่อยท้องมันบีบนะ พระเจ้าจอร์จมันเริ่มเจ็บ

แล้วหมอก็เข้ามาตรวจภายใน ตอนนั้นยังไม่ได้ยาบล๊อกหลัง เคยคุยกับหมอมาตลอดว่าจะคลอดเอง หมอก็ยืนยันเจตนารมณ์หมอเช่นกันว่าคลอดเอง เพราะหมอไม่อยากผ่าให้ หมอขี้เกียจเลาะพังผืดจากแผลผ่าตัดสองรอบของดิฉัน หมอบอกว่าคราวที่แล้วที่ผ่าซีสต์ ทเอาหมอจะเป็นลม พังผืดเยอะเหลือเกิน พร้อมกันนี้หมอยังกำชับว่า อย่ากินเยอะ เดี๋ยวลูกตัวใหญ่ ต้องผ่า ให้กินพอประมาณ ลูกสักสองพันปลายๆจะได้ออกง่ายๆ ตอนรอคลอดมามาคลำๆท้องแล้วบอก น่าจะ 2200 แล้วนะ แล้วหมอก็ตรวจภายในเพื่อดูปากมดลูก เราก็นึกว่าตรวจเหมือนปกติ หมอบอกเจ็บหน่อยนะ แล้วหมอก็วัดปากมดลูก พร้อมกับขยาย ให้มันเปิดเพิ่มอีกสักเซ็น โอ้.... โคตรเจ็บ เจ็บที่สุด เจ็บโคตรๆ ครั้งต่อๆมาพอได้ยินเสียงหมอเปิดประตูเข้าห้องมา แทบผวา เริ่มไม่ชอบหมอ หมอทำเจ็บ

จากนั้นก็ปวดท้องขึ้นเรื่อยๆแต่พอทนไหว พอถึงจังหวะนึง เอ้าปวดบีบๆๆๆ รู้เลยว่าโอ้โห ปวดท้องคลอดมันเจ็บอย่างนี้นี่เอง เลยเรียกพยาบาลว่า ขอบล็อกหลังเถอะ ไม่ไหวแล้ว ใจเสาะมาก ชาวบ้านเค้าปวดแบบนี้อีกหลายชั่วโมง อีนี่ปวดทีเดียวร้องแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะหมอบล็อกหลังก็เข้ามาทันที อยากได้จัดให้ จากนั้นความเจ็บก็หายไป จนมดลูกเปิดได้ 10 เซ็นต์ พร้อมแล้วที่จะคลอด รวมเวลาตั้งแต่ฉีดยาเร่งคลอดได้ 6 ชั่วโมงพอดี แต่กว่าจะถึงเวลานี้ต้องผ่านช่วงเวลาวัดใจอยู่หลายรอบ เพราะหมอบอกว่าปากมดลูกหนา มันไม่บางลงเลย คุณหมอบล็อกหลังกับพยาบาลเชียร์หมอเย้วๆให้เข็นไปผ่าเถอะ หมอเลยหันมาถามว่าสู้ไหม เลยบอกว่าแล้วแต่หมอนะ จนมดลูกเปิดได้ขนาดแหละ เลยได้คลอดธรรมชาติ พยาบาล หมอเด็กเข้ามาพร้อม แต่แม่ไม่รู้สึกเจ็บท้องเลยเพราะหมอบล็อกหลังไว้ หลายคนสงสัยว่าอ้าว แล้วจะรู้จังหวะเบ่งได้ไง จะบอกว่า ไม่รู้หรอก พยาบาลบอกก็เบ่ง เบ่งอยู่ 4 อึดใจตามเค้าบอก ลูกก็ออกมาให้ได้เห็นหน้า แล้ววว หมอเด็กบอก 2560 โอ้โห มากกว่าที่คาดไว้นะ แม่ขึ้น 13 กิโลค่ะ ถ้าครบกำหนดคงสามพันกว่าจะสี่พันแหงๆเลย คลอดครั้งนี้ทำให้รู้ว่า วิทยาการแพทย์สมัยใหม่ทำให้การผ่าคลอดธรรมชาติเป็นเรื่องที่ไม่เจ็บตัวอะไรเลย เป็นเรื่องที่ดีมาก

แต่น้องต้องอยู่โรงพยาบาลต่ออีกเจ็ดวันเพื่อให้ยาฆ่าเชื้อ 3 วันแรกหลังคลอดก็เทียวลงไปดูลูกที่ไอซียู เห็นนอนตัวเล็กๆน่ารักๆ พยาบาลเอานมให้กิน ก็ดูดๆๆจากขวด เก่งกว่าเพื่อนอีก เพราะคนอื่นต้องให้ทางสายยาง แต่นี่ไม่ต้องตั้งแต่วันที่สองเลย เห็นลูกแล้วก็นึกแต่โทษตัวเอง ถ้ารู้จักพักผ่อนเยอะๆ ไม่ทำอะไรมากจนเกินไป ตอนนี้ลูกคงยังอยู่ในท้อง ยังไม่ต้องออกมาตัวเล็กอย่างนี้ แต่ถ้าเทียบกับเพื่อนๆตู้อื่น ของตู้อื่นนี่พันเจ็ด พันแปดเองนะคะ น้องบัวออกมาตั้งสองพันห้า เยอะกว่าเด็กครบเทอมบางคนอีก

พอถึงวันแม่กลับบ้านแต่น้องยังไม่กลับ เป็นวันที่โคตรวิกฤตสำหรับจิตใจคนเป็นแม่ ตลอดเวลาตั้งแต่มีหลานสี่คน วันที่หลานกลับบ้านก็คือหลานออกจากโรงพยาบาลพร้อมแม่ แต่พอถึงลูกตัวเอง วันที่เรากลับลูกยังต้องนอนอยู่ที่เตียงในโรงพยาบาลอยู่ นึกแล้วน้ำตาไหลพรากๆ ทำไมไม่ได้ลูกกลับมาด้วย ที่ร้ายกว่าคือตัวเองเริ่มเป็นไข้หวัดหนักขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นผลมาจากที่น้ำคร่ำรั่วแล้วเกิดติดเชื้อ ทั้งไอทั้งน้ำมูกไหล ไอทีแผลสะเทือนที ทุกวันไปดูลูกก็ต้องใส่มาส์ก พอตอนเย็นก็ต้องบ้ายบายลูกกลับบ้าน นึกแล้วก็สงสาร ต้องทิ้งไว้ให้อยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้กอดกันเลย สักหน่อยลูกก็ตัวเหลืองอีก ต้องอาบแดดไม่ใส่เสื้อผ้า ใส่แต่หน้ากากไรเดอร์ แม่ก็ป่วยไม่เลิก จนตัดสินใจไปหาหมอ หมอสั่งยาฉีดให้สามเข็ม สามวันเลยพอทุเลาลง แต่ก็ต้องใส่มาส์กต่อไป

จนครบวันที่สิบ ได้พาลูกกลับบ้าน แฮปปี้มาก ลูกตัวเล็กๆ ไม่ต้องอยู่โรงพยาบาลคนเดียวต่อไปแล้ว หารู้ไม่ว่า ความเหนื่อยยากกำลังมาเยือน เข้าใจและรู้ซึ้งถึงหัวอกแม่ทันที ตอนท้องใหม่ๆ กะว่าพอท้องแก่ใกล้คลอดแล้วจะกลับบ้านไปคลอดที่อุดร เพราะรู้สึกว่าชีวิตจะสบายกว่าอยู่กรุงเทพตรงที่มีคนคอยดูแล แต่เอาไปเอามาอวดเก่ง บอกจะคลอดที่กรุงเทพนี่แหละ แล้วเลี้ยงกันสองคนด้วยนะพ่อแม่ ไม่ต้องมีคนมาช่วยเลี้ยง ยืนกรานหนักแน่นมาตลอด พอเอาเข้าจริงๆเป็นไงล่ะ ตั้งแต่กลับบ้านมาวันแรกก็รู้แล้วว่า ดิฉันคิดผิด
ตอนอยู่โรงพยาบาลน้องก็ดูเรียบร้อยน่ารัก ถึงวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน ก็นึกว่าจะเลี้ยงง่ายๆ กลับมาบ้านวันแรก ชีแหกปากร้องทั้งบ่าย เอายังไงก็ไม่อยู่ จนอึออกมาปู๊ดใหญ่ๆถึงจะสงบลง อีตอนร้องล่ะ คุณแม่มือใหม่ลนไปหมด ลูกก็หน้าแดง แม่ก็หน้าแดง เครียด เอาไปเอามาลูกร้องไห้ แม่ก็ร้องไห้ตามเลยล่ะทีนี้ ยิ่งผสมกับอารมณ์แม่หลังคลอดยิ่งไปกันใหญ่ น้ำตาไหลเป็นสายพรากๆ ใครมาพูดด้วยไม่เกินสองคำน้ำตาไหล โทรกลับบ้านหาแม่ น้ำตาไหล คุยกับพี่ชายสองคนเสียงดิฉันก็สั่นเครือ บอกพี่ชายว่า ไม่ไหวแล้ว จะเอาลูกกลับอุดร พ่อถึงกับเตรียมตัวเอารถมารับกันเลยทีเดียว วันที่สี่พาลูกไปหาหมอเรื่องอึ นั่งรอหมอหน้าห้อง น้ำตาไหลเอาไหลเอา คือไม่รู้ว่าโศกเศร้าอะไรนักหนาด้วยนะ ใครพูดอะไรนิดหน่อยสะกิดใจเลยทีเดียว จนคุณแม่ที่พาลูกไปหาหมอด้วยกันต้องเข้ามาปลอบว่าอย่าเครียด คุณแม่อย่าเครียดนะคะ เดี๋ยวก็ดีเอง ขนาดนั้นเลย หมดท่าคุณแม่คนเก่งที่เคยยืนกรานจะเลี้ยงลูกกันสองคนผัวเมีย

4 วันแรกที่กลับบ้านเลี้ยงลูกเองกับมือ ให้นมวันล่ะแปดรอบ ทั้งปั๊มทั้งกินจากเต้า เหนื่อยหนักเป็นสองเท่า วันแรกๆกินนมแล้วนอน เออ ดี... พอมีเวลาอาบน้ำเตรียมตัว วันต่อมา กินนมแล้วไม่นอน อ้าว...ไม่ดีแล้วดิตอนนี้ แม่ไม่มีเวลาทำอะไร วันถัดมานอกจากไม่นอนแล้วยังร้องนอนสต๊อป กรี๊ดๆกร๊าดๆอีกแล้ว เครียดหนักเลยคราวนี้ เพื่อนที่คลอดพร้อมกันอยู่ดีๆก็โทรมาบอกว่า เอาพี่เลี้ยงศูนย์มั้ย โอ้โห อย่างกับสวรรค์ ใช้เวลาคิดอยู่สองวันออเดอร์เลยทันที โชคดีที่ได้พี่เลี้ยงฝีมือดีช่ำชองเด็กอ่อน เลือกแบบไปเช้าเย็นกลับ ตอนนี้ชีวิตเริ่มมีเวลาเป็นของตัวเองบ้างแล้ว พี่เลี้ยงก็ยังกับใส่ยานอนหลับให้ลูกดิฉันกิน อุ้มๆสักหน่อยเดี๋ยวนอน เดี๋ยวนอน เก่งจริงๆ พอตกกลางคืนก็พ่อแม่ดูแลกันสองคน ต้องมานั่งลุ้นกันทุกคืน จะนอน ไม่นอน

อาทิตย์ถัดมาต้องอยู่ไฟ ไอ้เราก็ไม่เคยเห็นความสำคัญของการอยู่ไฟเลย ไม่รู้เลยว่ามันดียังไง พอเลี้ยงลูกจนดูว่าไม่มีเวลาเลยจะไปยกเลิกไม่ทำ แม่ถึงกับห้ามอย่างแรงบอกว่าให้ทำ ไม่ทำแล้วจะเห็นผลตอนแก่ เดี๋ยวจะอ่อนแอ ปวดกระดูกกระเดี้ยว เลยไม่ได้ยกเลิก ก็พอดีมีพี่เลี้ยงมาช่วยดู เลยได้ทำ ไม่งั้นแย่เลย การอยู่ไฟนี่ต้องอดทนหน่อยล่ะ เค้าก็มานวดๆ เอาอิฐมานาบ เอาหม้อเกลือมานาบ ขัดตัว ขัดผิว เข้ากระโจม โอ้ย เหนอะหน่ะ ต้องทำ 7 วัน ก็ต้องทนกันล่ะ อาบน้ำก็ต้องอาบสมุนไพร ตอนนั้นตัวอย่างกับมีไอร้อนออกมาตลอดเวลา กว่าจะครบ 7 วันเกือบแย่

1 เดือนผ่านไป น้ำหนักลูกขึ้นมากิโลกว่า พร้อมกับน้ำหนักแม่ที่ลดลงไปสิบกิโล แต่แม่ต้องการอีกสิบกิโล คงต้องเลี้ยงกันให้หนักต่อไป

ใครจะนึกว่ามีเด็กเล็กๆคนหนึ่งมันจะเหนื่อยขนาดนี้ แม่บอกว่าเด็กนะ ไม่ใช่ตุ๊กตา ซึ้งแล้วใช่มั้ย อวดเก่งนักเป็นยังไงล่ะ บอกให้มาคลอดที่อุดรก็ไม่เอา ก็เลี้ยงกันไปแล้วกัน เด็กไม่จำเป็นต้องนอนตลอด แล้วอย่าไปอารมณ์เสีย อารมณ์ไม่ดี เพราะเด็กสื่อถึงแม่ได้ ยิ่งเราอารมณ์ไม่ดีเค้าก็จะยิ่งโยเย บางทีอ่านเจอในหนังสือ แม่คนอื่นช่วงแรกๆก็เครียด น้ำตาไหลพรากๆเหมือนกัน ดังนั้น ไม่ใช่เราคนเดียวในโลกที่กำลังเหนื่อย คนอื่นเค้าก็เหนื่อยทั้งนั้น

เรื่องลูกร้องไห้ก็อีกเรื่อง พอไม่มีอะไรทำก็ร้องไห้ อ่านจากบทความเค้าบอกว่าเด็กรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะสภาพแวดล้อมข้างนอกไม่เหมือนในท้องแม่ ก็จะร้องไห้ คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องปลอบกันไป มีวันแรกๆที่มา ร้องไห้ตลอดบ่ายไม่ยอมหยุด นอนก็ไม่นอน แม่สามีบอก เด็กมันร้องเพราะวันนี้วันพระ โอ้...ดิฉันถึงกับอึ้ง ทฤษฎีอะไรล่ะเนี่ย ถามไปถามมาได้ความว่า เด็กเล็กๆ จะมีพ่อแม่เก่ามาเล่นด้วยวันพระ จะมากวนไม่ให้นอน แล้วก็จะร้องไห้ทั้งวัน ... ขนาดนั้นเลยเหรอ เย็นนั้นเลยเปิดพระสวดให้ฟังซะเลย พอได้ยินเสียงพระสวด อ้าวเงียบ เงียบจริงจังด้วย วันพระถัดมาเลยดักด้วยการเปิดพระสวดตั้งแต่ตื่นนอนกันเลยทีเดียว แต่ปรากฎว่าน้องหลับสบาย ไม่เห็นจะร้องโยเย พึ่งจะมาเมื่อสองสามวันที่แล้วที่ร้องแล้วร้องตลอดบ่าย ไม่ยอมหลับยอมนอน ไปดูปฏิทินปรากฎว่าวันพระ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไว้วันพระหน้าจะรอดูใหม่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ใครมีลูกอ่อนๆลองสังเกตุลูกคุณสิคะ เค้าร้องไห้วันพระมั้ย

นี่ล่ะน้า เลี้ยงเด็กคนนึงกว่าจะโต พอมีลูกเป็นของตัวเอง เลยทำให้เข้าใจพ่อกับแม่มากขึ้น ตอนเด็กๆพ่อกับแม่ก็ต้องเลี้ยงดูเรามาแบบนี้ เหนื่อยแบบนี้กว่าเราจะโต ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความเป็นห่วงเลย มีเยอะแยะมากมายเกินกว่าจะสาธยายได้ เพียงแต่ว่าแต่ก่อนเราอยู่ในสถานะลูก สอนอะไรมาฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ขี้เกียจฟังบ้าง เดี๋ยวนี้ก็รู้แล้วว่าที่พ่อแม่ทำให้ทั้งหมดคือความเป็นห่วง ความรัก และอยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ใครที่พึ่งคลอดลูกแล้วสามารถเลือกได้ ให้เลือกไปอยู่ใกล้พ่อกับแม่ตัวเองให้เยอะๆ เพราะจะได้ความเข้าใจ ความเอาใจใส่ จนผ่านช่วงเวลาที่ต้องเลี้ยงลูกเล็กๆไปได้ด้วยดี ไม่มีใครใส่ใจเราได้ดีเท่าแม่เรา อย่างน้อยระหว่างช่วงเวลาเหนื่อยๆสามเดือนแรกนี้ก็ยังรู้สึกอบอุ่นใจที่มีแม่อยู่ใกล้ๆล่ะคะ เชื่อเถอะ
ใครที่กำลังมีลูกอ่อนๆคงเข้าใจประสบการณ์ที่เขียนมาให้อ่านดี นี่ยังมีเรื่องนมแม่ ที่ประเมินแล้วสามารถเอามาเขียนได้อีกตอน เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด หลายคนประสบปัญหา หลายคนถึงกับยอมแพ้ มันยากขนาดนั้นเลยหรือ แล้วจะมาเล่าให้ฟังแล้วกันนะคะ บางทีอาจจะเจอพวกหัวอกเดียวกันหลายคนก็ได้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ตอนนี้ขอลาไปเลี้ยงลูกก่อน กว่าหนังสือจะออก น้องคงได้อยู่อุดรแล้วล่ะคะ จะกลับไปอยู่กับอากงอาม่าแล้ว...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น