วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2549

ไฮโซบางกอก

ไฮโซบางกอก 12/7/2550

ตั้งแต่มีโอกาสได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพนานๆอย่างในช่วงนี้ ทำให้ได้เจออะไรที่มันเริ่มมีการเปรียบเทียบกับชีวิตช่วงที่อยู่ที่อุดร เรื่องบางอย่างก็ทำให้ช็อคได้ ถึงแม้ว่าหลายๆเรื่องหลายๆอย่างจะเหมือนกัน จริงๆก็ถือว่าอุดรนี่เจริญแล้วนะคะ มีอะไรเหมือนที่กรุงเทพมี แล้วก็ถือว่าค่าครองชีพค่าอยู่ค่ากินอะไรถูกกว่าแน่นอน ชีวิตก็ไม่วุ่นวาย หวือหวาจนเกินไป แต่จะว่ากรุงเทพแย่เสียทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะกรุงเทพยังมีความหลากหลาย ไม่ซ้ำซากจำเจ มีที่ให้เดินหลายๆที่ มีกิจกรรมให้ทำพักผ่อนหย่อนใจหลายๆอย่าง อย่างร้านอาหาร ให้กิน 365 วันก็กินไม่ทั่วกรุงเทพหรอก มีของให้เดินชมช้อปปิ้งเต็มไปหมด แต่ก็อย่างที่เกริ่น บางทีมันก็มีเรื่องช็อคๆเกิดขึ้นได้ ด้วยความที่เราไม่ได้ร่ำรวยมากมายอะไรนัก พอเจออะไรที่มันกลายเป็นเรื่องเริ่มจะเดิ้น เริ่มจะชั้นสูงก็เริ่มจะงง อุ้ย มีอย่างงี้ด้วยเหรอ ไรเงี้ย

อย่างครั้งนึง เคยไปกินอาหารร้านหนึ่งแถวๆพระรามสี่ ก็ด้วยความที่เป็นร้านอาหารไทยๆ บรรยากาศสบายๆ ฝีมืออาหารร้านนี้ชั้นยอด เรียกได้ว่าตำรับชาววังกันเลยทีเดียว เข้าไปนี่บรรยากาศยังกับย้อนไปสมัยยุคนางทาส พนักงานเสิร์ฟห่มผ้าแถบนะคะ อย่าทำเป็นเล่นไป ข้าวนี่มากับหม้อดินกันเลยเชียว เจ้าของร้านเป็นถึงครูบาอาจารย์ด้านการทำอาหาร เรียกว่าเอ่ยชื่อขึ้นมาหลายคนต้องรู้จักกันล่ะ ก่อนไปก็ทำใจไว้แล้ว ว่าอาหารมันต้อง 100 อัพต่อจาน พอไปถึงยิ่งรู้ว่าคิดผิดถนัด เพราะมัน 200 อัพ แต่เอาเถอะ นานๆกินทีไม่เป็นไร ก็สั่งๆอาหารไปสามอย่าง ทำใจอย่างแรง พอกินของคาวเสร็จ อยากจะกินของหวานล่ะคราวนี้ ด้วยความที่ของคาวมันอร่อย ไอ้เราก็มั่นใจสุดๆของหวานต้องอร่อยแน่ เรียกเมนูมาเปิดดู เห็นไอติมกะทิบนขนมปัง แบบที่บ้านเราเค้าเข็นรถมาขายกัน ไอติมเป็นถัง มีขนมปังผ่ากลาง อัดข้าวเหนียวเข้าไป ราดถั่ว โรยนมนั่นแหละ แบบนั้นเลย ใส่หนมปังอันละ10-20 บาท หรือจะใส่ถ้วยใส่โคนก็ได้ นึกออกมะ แต่พอมาเจอร้านนี้ โอเคล่ะ เพิ่มขนุนขึ้นมาอีกนิด เครื่องอย่างอื่นๆอีกหน่อย หน้าตาน่ากิ๊น น่ากิน เหลือบไปดูราคา แม่เจ้าโว้ยยยย....... 120 บาท จะโบราณมาอีท่าไหน เจ๊ก็ไม่เอาด้วยหรอกงานนี้ ขอลา

เรื่องอาหารนี่เล่นเอาแสบสันไปหลายยกเหมือนกัน อย่างครั้งนึงคุยกับคุณแฟนว่า เสาร์-อาทิตย์เราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันตามโรงแรมดีกว่า พวกบุฟเฟต์อะไรแบบนี้ เหมือนสมัยที่เราอยู่อุดร เสาร์อาทิตย์ทีก็ไปเจริญศรีบ้าง เจริญโฮเต็ลบ้าง คนละร้อยกว่าบาท สองคนรวมน้ำ รวมทิปก็ไม่เกิน 500 ได้กินหนำใจขนาดนั้น ยอม.... พอมาอยู่กรุงเทพ ปะ เราไปกินบุฟเฟต์กันเถอะ เลยเลือกมาสองโรงแรมที่เคยไปกินเลี้ยงแบบฟรีๆมาก่อน กะว่าอร่อยแน่ พอโทรไปสอบถามราคาเท่านั้นหล่ะ เลี้ยวรถกลับแทบไม่ทัน โรงแรมแรก แจ้งราคามาว่า ต่อหัวท่านละ 1100 บาทค่ะ ถ้ามาทานสี่คนลดให้ 50 เปอร์เซ็นต์ค่ะ ก็เอ๊า ลูกก็ยังไม่มี เพื่อนก็ไม่ค่อยได้คบ จะไปหาอีกสองมาจากไหน แล้วนี่ทาน 2 คน 2,200 ไปกินโต๊ะจีนไม่ดีกว่าเรอะ พอพอ เลยโทรไปถามโรงแรมที่สอง กะว่า 500 ก็จะกัดฟันทนปรากฏว่าหนักกว่าเดิมอีก หัวละ 1,300 ค่ะ ถ้ามาทาน 4 คน ลด ครึ่งราคานะคะ เอ่อนะ มันประชุมโรงแรมทั่วกรุงเทพเหมือนกันหมดรึเปล่าเนี่ย 2 คน 2,600 รับไม่ได้ เจ๊รับไม่ได้ เลยได้ความรู้ว่า ที่กรุงเทพเนี่ย จันทร์ถึงศุกร์เค้าคิดราคานึง พอเสาร์อาทิตย์คิดอีกราคา พอเจออะไรอย่างงี้ปุ๊บ จากที่เคยบ่นๆว่าอุ๊ย ทำใมเจริญศรีต้องมาขึ้นราคา ทำใมเจริญโฮเต็ลคิดตั้งร้อยกว่าบาท เลยได้เปลี่ยนความคิดมารู้สึกว่า เอ่อ ถูกเนอะ แล้วเค้าจะคุ้มไหมเนี่ย

เดี๋ยวนี้ที่กรุงเทพมีบุฟเฟต์อีกประเภทนึง คือบุฟเฟต์แบบสั่ง ไม่ต้องไปตัก อยากกินไรสั่งเอา แต่หัวละ 400 นะ คิดไปคิดมา คนอะไรจะสั่งจะกินได้เยอะขนาดนั้น อีกอย่างถ้าไปสัก 5 คน รวม 2,000 นี่ไปกินร้านอาหารดีๆได้อิ่มเหมือนกันนะจะบอก เอ่อ...ลืมเล่า เมื่อสองอาทิตย์ก่อนไปกินบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นเจ้าดังมา เค้าคิดหัวละหนึ่งพัน เราก็ยอม ด้วยความที่มันเป็นโอกาสพิเศษ อยากรำลึกความทรงจำ แต่พอไปกินนะหูยยย เสียดายตังค์ ถ้าเอาสองพันนี่ไปกินฟูจิคงกินได้ประมาณ 6 คนแบบอิ่มท้องแตกกันไปข้างนึงเลย

อาหารเวียดนามนี่ก็เหมือนกัน ไม่อร่อยแล้วยังแพงอีก แหนมเนืองจานละ 200 ได้หมูมา 2 ต่อน กินหกเจ็ดคำก็หมดแล้ว อยู่อุดรนี่ได้ชุดใหญ่เลยนะ 8 ไม้ 10 ไม้ไม่มีอั้น แถมกินได้แบบออกรสออกชาด ปกติแหนมเนืองคำนึงนี่ห่อด้วยผัก 1 ใบใหญ่ๆ บางทีต้องซ้อนสองใบ แล้วยัดเข้าปากด้วยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของปาก ประมาณ 8 เซนติเมตร อยู่กรุงเทพนี่ต้องกินแบบจุ๋มจิ๋ม จิ๊จ๊ะ ไม่ถนัดอย่างแรง เคยลองกินแบบอุดรแล้วทีนึง ป้าโต๊ะข้างๆมองตาไม่กระพริบ คำแล้วคำเล่า ก็อยากจะหันไปถามว่า มองไรยะ...ไม่เคยเห็นคนกินแหนมเนืองรึไง!!!

พูดเรื่องกินแล้วก็จะพูดเรื่องเค้กให้หมด จะได้จบเป็นหมวดๆไป ร้านเค้กในกรุงเทพร้านดังๆมีอยู่ที่นึงที่ดังมากๆ แล้วมันก็แพงมากๆด้วย รู้สึกจะมีอยู่สามสาขา คุณเคยกินเค้กที่อุดรมั้ย ซีกแบบสามเหลี่ยม 50 บาทก็ว่าแพงขาดใจแล้ว ร้านนี้ซีกละ 120 นะเอ้า กินแล้วแทบจะบินได้ แต่ของเค้าอร่อยจริงๆ เพียงแต่มันทำให้เรานึกว่า ก๋วยเตี๋ยวชามละ 30 บาท แต่เค้กก้อนนึงก้อนละ 120 บาท อะไรมันจะต่างกันขนาดนั้น กินเค้ก 2 ก้อนนี่กินข้าวกันได้ทั้งครอบครัวแล้วมั้ง ร้านนี้เค้าขายอาหารด้วย เข้าไปทีนึกว่าไปกินอยู่เทิงฟ้า อาหารจานเดียวจานละไม่ต่ำกว่า 200 มีที่ไหน กระเพราไก่ไข่ดาว จานละ 200 กว่า เผ็ดก็เผ็ด หลาบเลย ไปกินทีเดียวแล้วหลาบ ถ้าจะต้องไปคราวหน้าคงต้องหาสปอนเซอร์อย่างดี บินตรงมาจากอุดรเท่านั้น ถึงจะหลอกพาไปกิน แล้วจะหลอกให้จ่ายเงินค่าเค้กสัก 5 ก้อนไปตุนไว้กินด้วย อ้วนจงเจริญ

หมดเรื่องกินแล้วเปลี่ยนมาเรื่องความสวยความงามมั่งดีกว่า มีตำนานอมตะเรื่องนึงจะเล่าให้ฟัง เมื่อสามอาทิตย์ก่อนเกิดอารมณ์อยากทำอะไรกับผมขึ้นมา ด้วยความที่มันยาวจนจะไปแทงก้นอยู่แล้ว สระทุกเช้ามันก็ไม่ไหว ยาวเหลือเกิน ผมก็ร่วงแล้วร่วงอีก กวาดมานี่ไปต่อทำอีกหัวได้เลยนะ เลยตัดสินไจไปทำอะไรกับผมพร้อมกับคุณแฟน เลือกร้านทำผมร้านนึงที่ห้างดังแถวๆสุขุมวิท บังเอิญเป็นร้านที่คุณแฟนตัดประจำอยู่แล้ว เค้ามีช่างทำผมที่รู้ใจกันอยู่ ไอ้เราก็พอทราบค่าตัดอยู่บ้าง ก็ทำใจล่ะคะ เพราะอยากไปตัดพร้อมกันสองคน ร้านนี้เค้าหรูนะ หนังสือนี่จะหาภาษาไทยไม่ค่อยมี ต้องเป็นหนังสือแฟชั่นภาษาอังกฤษเท่านั้น แหม...ไม่ค่อยเข้าทางเราเท่าไหร่หรอกคะ เพราะปกติเจ๊อ่านแต่คู่สร้างคู่สมเท่านั้น เจ๊ชอบมาก แต่ก็เอาหน่ะ พอหยวนๆ อังกฤษก็อังกฤษ ของหวานที่เค้ามาเสิร์ฟก็เป็นลูกชุบ ประมาณว่า 15 ลูก 45 บาท เคยเห็นที่แถวซุปเปอร์บ่อยๆ นี่ก็ไม่เข้าทางเราเหมือนกัน เพราะปกติซื้อลูกชุบแบบคีบๆตักๆ 15 ลูก 20 บาท ไม่รู้ใส่สีย้อมผ้าให้รึเปล่า แต่ก็กิน

พอไปถึงร้านก็เห็นไฮโซไฮซ้อทั่วฟ้าเมืองไทย มีดารงดารามารอตัด รอเซ็ทผมอยู่เพียบ เราก็สระๆๆ แล้วก็มานั่งรอตัดกับคุณแฟนคนละเก้าอี้ พอช่างมาเราก็เริ่มเลย
“เอ่อ... คือแบบว่า เป็นคนที่ไว้ผมตรง ยาว สีดำอย่างงี้มานานมากแล้วอ่ะคะ อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง เพราะค่อนข้างเบื่อผมตรงๆ ยาวๆแบบนี้แล้วเหมือนกัน คุณช่วยออกแบบให้หน่อยสิคะว่าทำทรงไหนถึงจะพอเข้ากับใบหน้า (อันอวบอ้วน)”
ช่างตอบ “ ก็เอาอย่างงี้นะครับ เป็นคนสระผมทุกวันอยู่แล้วใช่ไหม อย่างงั้นเอาทรงที่ไม่ต้องทำอะไรมาก ใช้แค่มูสขั้นตอนเดียว แล้วปล่อยผมให้แห้งก็สวย จะได้ไม่ต้องไดร์ เราก็ดัดสักหน่อยตรงช่วงปลายๆ ให้มันเป็นลอนใหญ่ๆ ช่วงบนหัวก็ให้เป็นยาวตรงลงมา ดูมีโวลุ่มดี เสร็จแล้วก็ทำสีผม ให้หน้าดูสว่างขึ้น แต่ไม่ต้องใช้สีที่มันสว่างมากนะครับ เพราะผมคุณตอนนี้ก็ไม่ใช่ดำสนิท เลือกเอาเป็นสีน้ำตาลแดงเข้มๆก็แล้วกันนะครับ โอเคครับ เดี๋ยวตัดผมก่อนเลย ”
ช่างก็ตัดๆๆ ทำเลเยอร์ให้ผม ซ้ายที ขวาที หลังที หน้าที ผมจากที่เคยแทงก้นก็สั้นลง สั้นลง จนเสร็จสิ้นกระบวนการ พร้อมแก่การดัดเป็นขั้นตอนต่อไป หลังจากช่างเช็คความเรียบร้อยแล้วก็หันมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ เดี๋ยวเราจะเริ่มดัดตั้งแต่ตรงประมาณปลายๆหูลงไปนะครับ เพราะผมคุณเส้นเล็ก ต้องดัดตั้งแต่ขั้นนั้น จะได้ดูสวย แต่ก่อนอื่นผมขอแจ้งราคาให้ทราบก่อน ค่าดัดทั้งหมดหกพันบาท โอเคนะครับ”
อึ้งสิ อึ้งไปเลย ใบ้ไปเลย เลยตอบไปว่า “อืมมมม ค่ะ” จังหวะนี้มาเล่าให้แม่ให้น้องฟังทีหลังยังโดนด่า นี่ยังมีหน้าไปตอบอืมมมกับเค้าอีกเหรอ น้องสาวบอก เป็นหนูหนูตอบไม่ไปตั้งแต่ทีแรกแล้ว ก็ไม่มีตังค์อ่ะ ก็แหมนะคุณน้อง คืออารมณ์มันแบบว่าคุยกับเค้าสะดิบดี ไม่อยากได้ผมยาวตรงแล้วคะ อยากดัดค่ะ ช่วยออกแบบด้วยนะคะ ทำเต็มที่เลยนะคะ เป็นไงล่ะ บอกราคามาร้อนวูบที่ใบหน้าเลยทีเดียว เหงื่อออกทางรูขุมขนโดยไม่สามารถควบคุมได้ จังหวะนั้น ช่างออกไปหยิบอุปกรณ์และน้ำยาการดัด เป็นจังหวะที่เจ๊กำลังลนลานหาทางออก เจ๊ต้องเลือกเอาระหว่างเสียหน้ากับเสียตังค์ ซึ่งเป็นใครก็ตอบได้ กูเลือกเสียหน้า กูไม่ยอมเสียตังค์ แน่นอน เมื่อคิดได้ดังนั้น เลยกวักมือเรียกช่างมา
“อืมมมม.... คิดว่ายังไม่ทำดีกว่าค่ะ ขอเวลาคิดดูก่อนอีกทีนะคะ” ในใจอีช่างคงแบบ แหม..... อีนี่ แอ๊บรวยนะ แต่ไม่เป็นไร มันจะคิดก็คิดไป เจ๊ยอม ช่างก็ถามกลับมา
“งั้นตกลงเดี๋ยวทำสีผมอย่างเดียวนะครับ” อิชั้นก็ดันเกิดจังหวะต้องเลือกระหว่างเสียหน้ากับเสียตังค์ขึ้นมาอีกครั้ง เลยกล้ำกลืนบอก “เอ่อ...... มันมีสีอะไรบ้างเหรอคะ” โง่อีกแล้วนะ เค้าก็อุตส่าห์ไปเอาชาร์ตสีมาให้เลือก แต่ช่างนี่เพลี่ยงพล้ำกระบวนยุทธไปก่อน เพราะดันเปิดช่องโหว่มาว่า “ แต่อยากแนะนำให้ให้ดัดไปด้วยเลย จะได้ไปทีเดียวเซตเดียวกัน” ข้าพเจ้าเลยได้จังหวะฉีกตัวออกมาจากช่องโหว่ดังกล่าว “อืมมม เหรอคะ งั้นสงสัยคงต้องรอไว้ทำพร้อมกัน อีกอย่าง แฟนไม่ชอบให้ทำเป็นสีๆด้วยอ่ะคะ เค้าชอบให้ผมดำๆ คงต้องกลับไปคิดก่อน” แฟนนั่งตัดผมอยู่ข้างๆไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย นั่งให้เค้าตัดฉับๆเนียนไป หารู้ไม่ว่าภรรยากำลังเจอศึกหนัก แล้วเลยหันไปถามช่างว่า “เอ่อ....ที่ตัดให้นี่เป็นทรงแล้วใช่ไหมคะ โอเค งั้นไดร์เลยแล้วกัน เอาทรงนี้แหละคะ ตรงๆ ดำๆ ยาวๆ ยังชอบอยู่” ช่างก็เลยเรียกอีกคนมาไดร์ให้ แล้วเค้าก็ไปตัดให้ไฮโซเจ้าของหนังสือชื่อดังที่นั่งอยู่อีกด้านของร้านแทน

หลังจากช่างไป ดิฉันก็เหลียวซ้ายแลขวา เห็นช่างในร้านเสริมสวยนั่งกันอยู่เป็นกลุ่ม เลยกะว่าพอตูออกจากร้านนี้ไปเมื่อไหร่ ต้องเสร็จขี้ปากพวกนี้แน่ สักหน่อยแฟนก็หันมา ถามว่าทำไมไม่ดัด ทำผมเสร็จแล้วเหรอ เราก็พูดไม่ออก ทำหน้าเหยเกเบะๆ แฟนคงงง ระหว่างนั้นก็ถามช่างที่กำลังไดร์ผมตัวเองว่า “โทษนะคะ ทำสีผมนี่ครั้งละเท่าไหร่เหรอคะ” ช่างบอก “คุณไม่เคยทำสีมาก่อน เป็นการทำครั้งแรก ไม่ต้องแก้สี ก็ประมาณ 3 พันกว่า” ในหัวเริ่มคิดคำนวณทันที ดัด ทำสี สระ ซอย สิริรวม 9,800 โอ้ แม่เจ้า..... เจ๊จะขาดใจตายเอาเสียให้ได้ตรงนั้น แพงโพดแพงเหลือ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตฉันถ้าฉันตอบตกลงไป ไอ้รามันก็แค่เศรษฐีคูโบต้า ไฉนเลยจะกล้าไปทำผมแพงได้ขนาดนั้น อยากจะไปกราบช่างทำผมคนนั้นงามๆที่เสนอราคามาก่อนลงมือ ไม่งั้นชีวิตนี้ต้องดับดิ้น ให้สวยสวรรค์ พรพรรณ เกลโบว่ายังไงก็ไม่เอา หมื่นนั้นใช้ได้เป็นเดือน ที่สำคัญ สวยไม่สวย แฟนก็ยังรัก ความสวยไม่ใช่สิ่งสำคัญ แค่นี้ก็จะสำลักความรักที่ล้นอกตายอยู่แล้ว..... วี้วววว

เล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่บอก แม่ตัดกับคุณแต๋วข้างบ้านไม่เกิน 200 อะไรจะปานนั้น พูดเรื่องทำผม แล้วก็จะพูดเรื่องทำเล็บมั่ง ที่อุดรไปนั่งทำเล็บที่ร้านเสริมสวย อย่างเก่งก็ร้อยไม่เกินสองร้อย แต่ที่กรุงเทพนี่ เค้าขายกันเป็นแพ็คเกจ อย่างร้านของดารานี่อย่าได้พูดราคาที่ต่ำกว่าพัน ไม่มีหรอก ส่วนร้านที่เคยไปก็อยู่ในห้างดัง เค้าคิด แพ็คละ 600 เริ่มตั้งแต่ ล้าง ขัด สครับ นวด ตัดเนื้อซอกเล็บ แต่งเล็บ ทาสี ที่นั่งก็ไฮโซหรูหรา เป็นเก้าอี้มีอ่างในตัว ตรงพนักเป็นเครื่องนวด นั่งแล้วแสนสบาย แรกๆก็พอกัดฟันไปทำเดือนละครั้ง หลังๆเริ่มไม่ไป อายเค้าด้วยล่ะ เพราะส้นทีนมันแตกชนิดที่ว่าคนขัดต้องตั้งการ์ดขัดกันเลยทีเดียว มิหนำซ้ำยังมีตาปลามาให้ระคายเคือง คนขัดพอเอามือจับไปเจอตาปลาก็ร้องออกมา อุ๊ยนี่อะไร..... อายสิ ใส่แต่รองเท้า 199 ก็งี้ล่ะ

ตอนนั่งขัดเล็บพนักงานก็เล่าให้ฟังว่า ช่วงที่มีงานฉลองครองราชย์ 60 ปี มีพวกเจ้าหญิง เจ้านายมาจากประเทศอื่น บางทีก็เป็นผู้ติดตาม ก็จะมานั่งให้ขัดๆทำเล็บ บางทีเป็นพวกมาจากตะวันออกกลางเลยนะ แต่งผ้าคลุมดำๆมาเลยนะ คนตามกันเป็นขบวน มานั่งขัดเล็บที่ร้าน แล้วขอโทษ ที่มานะผู้ชาย เค้าบอกว่าบ้านเมืองเค้าไม่ค่อยมี ถึงมีก็แพง ยิ่งพวกญี่ปุ่นนี่ยิ่งชอบ อยู่บ้านเมืองเค้ามันแพง มาเจอที่นี่เลยกลายเป็นถูกไป เพนท์เล็บเล็บละ 60 บาท บางทีก็ต่อเล็บอะไรก็ว่าไป ไอ้เราสิว่าแพงขาดใจอะไรขนาดนั้น

อยู่กรุงเทพนี่ไปไหนมาไหนถ้าจะให้สบายก็ต้องมีรถ บางคนที่เลือกสะดวกก็ขึ้นรถไฟฟ้า แต่เดี๋ยวนี้รถไฟฟ้าตอนเช้าๆแน่นอย่างกับรถเมล์หลังโรงเรียนเลิก คนขึ้นอย่างกับหนอน บางทีต้องรอ 2-3 ขบวนกว่าจะได้ขึ้น ขึ้นไปบางทีก็เหม็นเต่า เพราะบางคนโหนอย่างกะลิงกะข้าง บางวันเราก็ต้องเป็นลิงเป็นข้างเอง ก็ต้องโหนแบบหนีบๆจ๊กกะแร้ แล้วบางทีออฟฟิศก็ไม่ได้ติดรถไฟฟ้า เลยต้องขับรถไป วันธรรมดาน่ะไม่เท่าไหร่ ลองมาเจอวันศุกร์สิ จากไอ้ถนนที่เคยวิ่ง 10 นาที ตรงช่วงสีลมถึงเซ็นทรัลเวิล์ด แม่ล่อเข้าไป ชั่วโมงครึ่ง อย่างกับไปอุดร-ขอนแก่น นั่งกันเหนียงยานทีเดียวเชียว คนกรุงเดี๋ยวนี้เค้าเลยฮิตติดทีวีไว้ในรถ ไอ้เราก็กลัวแฟนอยากดูแล้วไม่มีสมาธิขับรถ เลยไม่ติดมันสะเลย เจอติดๆอย่างนั้นก็นั่งก็นอนกันไปสิ ตอนเติมน้ำมันนะแหมยิ่งเจ็บปวด อยู่อุดร เดือนนึงเติมสักสองครั้งได้มั้ง อยู่กรุงเทพเติมมันอาทิตย์ละครั้ง น้ำมันหมดอย่างกับระเหยเองได้ แพง แต่ก็ต้องทน

เค้าถึงว่าอยู่กรุงเทพก็ต้องทำใจ บางทีเราก็ไม่อยากจ่ายแพงหรอก จริงอยู่ กรุงเทพมีความหลากหลายนะ ของถูกๆก็มี ไม่ใช่ว่าจะแพงไปเสียทั้งหมด อย่างทุกวันนี้ไปกินข้าวแถวออฟฟิศตอนเที่ยงก็ไม่ถึงร้อย ข้าวราดแกงสองอย่าง 25 สามอย่าง 30 ก๋วยเตี๋ยวชามละ 30 พิเศษ 35 อะไรพวกนี้ก็มี หรืออย่างไอติมโบราณ ถ้วยละ 20 บาท (แพงกว่าอุดรนิดหน่อย) ก็มีเหมือนกัน แต่บางทีด้วยความที่ของแพงมันล่อตาล่อใจไง มันก็ทำให้เกิดกิเลส อยากลอง อยากชิม อยากตัดผมร้านดัง อยากใช้ของดีไรเงี้ย เรื่องพวกนี้ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงอยู่เหมือนกัน

สมัยก่อนมีความภูมิใจอย่างมากกับการไม่ยึดติด ไม่เป็นพวกวัตถุนิยม กระเป๋าต่อให้ก๊อปก็ซื้อ แต่ซื้อนี่ไม่ใช่เพราะอยากถือยี่ห้อนั้นนะ แต่ซื้อเพราะรูปทรง เอ่อ มันสวยดี น่าจะใช้ประโยชน์ได้ดีอะไรอย่างงั้น สมัยอยู่อุดรก็ใช้มาตลอด เปลี่ยนสองใบสามใบก็ซื้อแบบนั้นแหละ พอเข้ากรุงเทพที เจอคนถาม อุ๊ย ... รุ่นนี้ไม่เคยเห็นเลย ซื้อมาเท่าไหร่ เราก็ตอบๆไป อ๋อ ซื้อมาจากแถวๆริมแม่น้ำโขงอ่ะคะ เค้ามีขาย คนถามก็เจื่อนไปนิดนึง เพราะคงนึกว่าเราไปซื้อมาจากแถวๆโรม มิลาน สักหน่อยพอเริ่มทำงาน เห็นเพื่อนที่ทำงานดิ้นรนหากันจัง ใบละหลายหมื่น มีการฝากซื้อด้วยนะ แต่เจ๊ยังคงคอนเซปต์เดิม ไม่ต้องแพง แต่ใช้งานได้เหมือนกัน แต่ก็เริ่มมีแอบคิดนิดๆ มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ นี่หลังๆ บางทีเจอคนใช้รุ่นที่เหมือนกัน ของเขาหนังดี มัลติคัลเลอร์ ของเรางี้หนังเหลืองเชียว บ่งบอกอย่างชัดเจน ชักเริ่มโอนเอนแล้ว ยิ่งพอไปเดินห้าง อยู่ดีๆก็มีป้าคนนึงเดินมาทัก แถมทักเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ นึกว่าเราเป็นญี่ปุ่นหรือไง เราก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษกลับไป กระแดะไง เข้าใจไหม เค้าทักว่า อุ๊ย รุ่นเดียวกันเลย มัลติคัลเลอร์ ยูซื้ออยู่ไหน พอบอกเมืองไทย ป้าแกก็ อุ๊ย แพงล่ะสิ หลายหมื่นใช่ไหม เราก็ อืมมมม...... หลายหมื่นอยู่ ป้าแกบอกของแกซื้ออยู่อเมริกา สวยเนอะ สวยมาก ไอ้เราก็เอาของเราหลบๆ เหลืองกรอบเหลือเกิน แล้วป้าแกก็โม้อะไรต่ออีกนิดหน่อย แล้วแกก็ไป

สถานการณ์นี้ทำให้จิตใจคนเราเริ่มสั่นคลอนได้ ความเชื่อเดิมๆชักจะเริ่มเปลี่ยนแปลง ต้องใช้เวลาหาจุดถ่วงอยู่หลายวันกว่าจะเสถียรเข้ารูปเข้ารอย จริงๆแล้วที่เคยคิดมาทั้งหมดมันก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องไปเสียเงินกับของแพงๆ ไว้มีปัญญาหาเงินได้สักปีละ 100 ล้าน แล้วค่อยจะพิจารณาออพชั่นนี้ใหม่ ไม่เห็นต้องดิ้นรนเป็นไปตามเขาเลย หรือถ้าอยากใช้ของจริงๆ ก็ไปหายี่ห้อที่มันราคาสักพันสองพัน แต่จริงและสวยอย่างยี่ห้อลองชองก็ได้นี่ กำลังฮิตมากในหมู่วัยรุ่นตอนปลาย กระเป๋าอะไรอย่างกับกระเป๋าจ่ายตลาด ฮิตกันเหลือเกิน

อยู่กรุงเทพก็อย่างงี้ล่ะคะ เจอแต่สิ่งล่อลวงเยอะแยะ เห็นผู้หญิงสมัยนี้แต่งตัวแล้วก็น่าดูน่าชม จริงๆก็อยากแต่งตัวให้ได้อย่างคนอื่นที่เค้ามีสไตล์เป็นของตัวเองบ้างนะ แต่เดชะบุญที่ร่ำรวยเนื้อหนังมังสา ไม่งั้นคงเริ่ด และกระเป๋าคงแฟบไปกว่านี้แน่ๆ บางคนบ้าช้อปมากถึงขนาดติดหนี้บัตรเครดิตหลายๆใบ หมุนเงินไปเรื่อยๆจากการใช้เงินในอนาคตไง เรื่องมันก็น่าเศร้าอย่างงี้แหละ ใครว่าอยู่กรุงเทพสบาย อยู่บ้านเรานั่นหล่ะคะ สบายดีแล้ว ค่ากินค่าอยู่ก็ถูก อากาศก็ดี รถก็ไม่ติด สุขภาพจิตก็ไม่เสีย ดีกว่าอยู่กรุงเทพเยอะเลย ที่พูดมาทั้งหมดนี่อาจจะดูเหมือนใช้ชีวิตแบบร่ำรวย แต่จริงๆแล้วแต่ละเรื่องที่ยกมาเหมือนเป็นการให้โอกาสตัวเองได้ลองอะไรที่มันแปลกๆ อินเทรนด์ ซึ่งชีวิตจริงๆทุกวันก็ยังกินข้าวราดแกง ผัดซีอิ๊ว ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า อยู่นั่นแหละคะ ใช่ว่าจะกินบุฟเฟต์ทุกวันเสียเมื่อไหร่ นานๆสักทีก็จะให้ของขวัญตัวเองด้วยการไปหาอะไรแปลกๆได้ดู ได้เห็น ได้ลอง จะได้เป็นเหมือนกับประสบการณ์ชีวิตไงคะ คุณว่ามะ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น