วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2549

กว่าจะมีลูกสักคน

กว่าจะมีลูกสักคน 15/3/2551

ฉบับนี้ อาจะดูเหมือนเป็นภาคต่อของคราวที่แล้วนะคะ คราวที่แล้วทิ้งท้ายไว้ว่า คนที่เป็นช็อกโกแลตซีสต์ อย่าคิดว่าหมดหวังที่จะมีลูกนะ อะ....แน่นอน เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่าตอนนี้คนเขียนก็มีเจ้าตัวน้อยๆอยู่ในท้องแล้วล่ะคะ เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ แล้วอีกอย่างก็คือมาให้กำลังใจสำหรับคนที่กำลังเป็นอยู่ ว่าเรายังมีหวัง อย่าพึ่งท้อแท้ว่าจะไม่มีตัวเล็กๆมาให้ชื่นชม

ตั้งแต่เป็นโรคนี้มาก็ได้แต่รับคำบอกเล่าจากหมอให้ทำใจไว้นิดนึงแล้วว่า จะมีลูกยากนะ แล้วมันก็จริง เพราะมียากจริงๆ ไม่รู้กลไกอะไรข้างในมันต่างจากคนธรรมดาแค่ไหน รู้แต่กว่าจะติดได้ก็หมดกำลังใจไปแล้วหลายรอบ เสียแท่งทดสอบไปแล้วหลายอัน ทุกครั้งที่ทดสอบก็ลุ้นนะคะ แต่พอได้ขีดเดียวก็ใจแป้วว่าเฮ้อ...ไม่มาอีกแล้ว

ช่วงนั้นไปวัดที่ไหน หรือทำบุญที่ไหนก็ขอตลอด ขอเทวดา หรือนางฟ้าน้อยๆมาเกิด ขอให้เป็นเด็กดีของพ่อแม่ ฉลาด เรียนเก่ง ผิวพรรณดี หน้าตาดี หล่อๆ สวยๆ เป็นที่รักใคร่ของทุกคน ใครเห็นใครก็รัก พูดจาเพราะ มีสัมมาคารวะ เชื่อฟังพ่อแม่ อนาคตสดใสก้าวหน้า ไม่ทำให้พ่อแม่ลำบากใจ ขอตลอดเลยค่ะ ขอทุกที่ที่ไป ตอนหลังๆพอเค้าไม่มาเลยชักจะสงสัยว่าขอมากเกินไปหน่อย โลภมาก เจ้าจัดให้ไม่ถูก ยังไม่มีใครได้คุณสมบัติตามที่ว่าเลยยังไม่มาเกิดกันสักที ต่อไปจะขอพอนิดๆหน่อยๆแล้วกัน

แล้วเวลาเห็นข่าวตามทีวี หนังสือพิมพ์ หรือได้ยินเรื่องเด็กนักศึกษาเดี๋ยวนี้ ท้องแล้วไปทำแท้งกันเยอะเต็มไปหมด ก็จะรู้สึกว่า ทำไมจะต้องไปเกิดกับคนไม่พร้อมพวกนั้นเยอะด้วย แล้วทำไมต้องง่ายดายขนาดนั้น ทีเราพร้อมจะแย่ ไม่เห็นมาเกิดเลย อย่างงี้ไม่แฟร์ ยิ่งเห็นพวกพ่อแม่ที่พอคลอดแล้วก็เอาไปทิ้ง หรือรีบไปทำแท้ง ยิ่งสงสารเด็ก เห็นงานวิจัยชิ้นนึงบอกว่า เด็ก 2-3เดือนในท้อง เค้ามีความรู้สึกกันแล้วนะ มีหมอคนนึงได้สร้างภาพยนต์ด้วยการส่องกล้องเข้าไปในมดลูก แล้วบันทึกภาพเหตุการร์จริง ตอนที่แพทย์อีกคนกำลังจะทำแท้งให้ผู้หญิงคนหนึ่ง เด็กในนั้นน่าจะอายุครรภ์ประมาณ 3 เดือน เค้าอ้าปาก แล้วดิ้นรนหนีไอ้เจ้าเครื่องดูดที่หมอกำลังจะดูดเค้าออกมา ภาพนั้นเป็นที่น่าสลดใจมาก แต่ก็ได้ผลวิจัยมาว่า เด็กมีความรู้สึกตั้งแต่อายุครรภ์คุณแม่เท่านั้นแล้ว มีอาโกวคนเล็กบอกว่า ก็อย่างนี้แหละ เด็กมีบุญเดี๋ยวนี้น้อย เลยไม่มาเกิดกับเราสักที

อุ้ย พูดมาตั้งนาน ลืมเรื่องสำคัญ คราวที่แล้วพูดถึงคุณหมอที่ไปรักษาด้วย คุณหมออยู่ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ชื่อ รศ. นพ. ชาติชัย ศรีมบัติ คุณหมอถนัดเรื่อง ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือ ช็อกโกแลตซีสต์ เรื่องมีบุตรยาก แล้วก็การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องเป็นพิเศษ ที่ต้องลงชื่อให้ในฉบับนี้เพราะมีคนถามมานะคะ อย่างว่า เดี๋ยวนี้โรคนี้เป็นกันเยอะมาก เผื่ออยากจะไปหาคุณหมอเดียวกันจะได้ไปถูกคน
ไหนๆก็ไหนๆ จะขอเกริ่นพอคร่าวๆเกี่ยวกับวิธีการช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก พูดง่ายๆคือใช้วิธีไม่ธรรมชาติเข้าช่วย ขั้นตอนแรกไม่ใช่ว่าใครไปหาหมอแล้วหมอจะทำให้เลยวันนั้น เดี๋ยวนั้นนะ ไม่ใช่แบบ ไปถึงแล้วทำกิฟท์เลย หรือฉีดเชื้อเลย จะต้องมีการวิเคราะห์สภาพร่างกายกันหลากหลาย ดูว่าผิดปกติตรงไหน แล้วใครเป็นคนผิดปกติกันแน่ ผู้ชายหรือผู้หญิง เพราะบางทีโทษกันแต่ผู้หญิงๆ แต่จริงๆแล้วความบกพร่องมันอยู่ที่ผู้ชาย คุณหมอก็จะดูทั้งสองคน ของผู้หญิงก็อย่างที่รู้ๆกันถึงวิธีการตรวจ ของคุณผู้ชายนี่ก็ต้องไปเก็บเชื้อมาตรวจ อยากจะเมาท์จริงๆ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไง โรงพยาบาลเค้าจะมีห้องพิเศษไว้ให้ ในห้องจะมีทีวีหนึ่งเครื่อง พร้อมกับวีซีดีน้องๆสุดฮิตทั้งหลาย นึกออกมั้ยค่ะวีซีดีอะไร ไม่ใช้วีซีดีคอนเสิร์ตเอเอฟเอไทม์แน่ๆ จากนั้นก็คงจะแล้วแต่ความสามารถคุณผู้ชาย ซึ่งสุดท้ายก็จะได้สิ่งที่ต้องการมาให้พยาบาลเอาไปตรวจ มีคนนึงก่อนหน้าคุณสามี เป็นคนต่างชาติ อยู่ในห้องนั้นนานร่วม 2 ชั่วโมง คาดว่าคงดูจนหมด 6 แผ่นที่โรงพยาบาลมีให้ เอาให้คุ้ม พอตรวจทั้งสองฝ่ายเสร็จ คุณหมอก็จะให้ไปลองแบบธรรมชาติก่อน สักช่วงหนึ่ง ซึ่งก็คงจะมีการเซทวันไว้ให้ว่าวันไหนคือระยะหวังผล จะได้ปฏิบัติกิจกันได้ถูกวัน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คงจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการช่วยเหลือ อาจจะเริ่มที่การฉีดเชื้อ แล้วค่อยๆใช้วิธีที่ซับซ้อนยุ่งยากเพิ่มมากขึ้นไปอีกถ้าวิธีกึ่งธรรมชาติช่วงแรกๆไม่ได้ผล ฟังพี่พยาบาลพูดแล้วก็เหนื่อยแทนนะ คือเข้าใจหัวอกคนมีลูกยากแล้วอยากมีจริงๆว่ามันทรมานจิตใจมากๆ

วกกลับมาเรื่องท้องใหม่ กว่าจะได้คนนี้มาก็หลังจากที่ผ่าตัดครั้งที่สองมาแล้ว 4 เดือน จริงๆคุณหมอให้เวลา 6 เดือน ถ้าเกิน 6 เดือนอาจจะต้องเข้าสู่กระบวนการไม่ธรรมชาติล่ะ ซึ่งเราก็ไม่อยาก เพราะทราบดีว่านั่นมันเรื่องเจ็บตัวชัดๆ ตอนผ่าครั้งที่สอง คุณหมอเข้าไปเคลียร์ทางข้างในให้ด้วยการยืดท่อนำไข่ด้านขวา แล้วก็ฉีดสีดูการผ่านของท่อนำไข่ แต่ก็ยังไม่วายบอกว่าข้างที่เหลืออยู่ข้างดียวนี่ดูมันบวมๆนะ ทำใจไว้ ไอ้เราก็เพียรพยายามมาเรื่อยๆ จนสุดท้าย ชวนกันไปเที่ยวชะอำ เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แหม... มันได้ผลดี เพราะต้นเดือนตุลาที่ผ่านมา เทสต์แล้วได้สองขีด ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อสายตาตัวเอง ท้องแล้ว ความรู้สึกบอกไม่ถูกประเดประดังเข้ามา กลายเป็นว่าจะเป็นแม่คนแล้วเหรอ อยู่กับตัวเองมาตั้งหลายปี นี่จะมีน้องมาอยู่ในท้องอีกคน ออกมาจะเลี้ยงกันยังไงเนี่ย แล้วจะเป็นหญิงหรือชาย อุ้ย... สารพัดจะคิด

วันนั้นไปซื้อเครื่องเทสต์มาอีกสองกล่อง สองยี่ห้อ เอาให้ชัวร์เลยว่าใช่ แล้วก็ไม่ผิดหวัง จากนั้นก็ต้องไปส่งข่าวคุณหมอ คุณหมอกับพี่พยาบาลก็ทำหน้าแปลกใจนิดๆนะ ท้องแล้วเหรอ ประมาณนี้ แล้วคุณหมอก็บอกว่า อย่างนี้แปลว่าการผ่าตัดได้ผลดี แต่....คุณมีภาวะเสี่ยงจะท้องนอกมดลูก เพราะผ่าตัดมา แต่ตอนนี้คงยังดูไม่ได้ ต้องรออีกสัก 2 อาทิตย์ ระหว่างนี้ถ้าปวดท้องมากๆ ให้มาหาหมอที่โรงพยาบาลทันที เอ้า ก็เครียดเลยสิ ตอนนั้นจะไปเที่ยวญี่ปุ่นอยู่แล้ว ดีที่หมอนัดก่อนไปญี่ปุ่นให้มาซาวด์ดูชัดๆอีกที ถึงวันนัด แค่คุณหมอเอาเครื่องเช็คลงไป ก็เห็นเป็นถุงน้ำแล้วว่า ลูกแม่ไม่ได้อยู่ตรงปีกมดลูก แค่นี้ก็สุดแสนจะโล่งอก
แต่ ยังไม่จบแค่นั้น คุณหมอยังทิ้งระเบิดอีกว่า ถ้าผมนับไม่ผิด เด็กก็ขนาดปกติดี แต่ถ้าผมนับผิด เด็กดูจะตัวเล็กไปหน่อย ถ้าเค้าไม่อยู่กับเรา ก็ทำใจนะ เค้าจะค่อยๆฝ่อ แล้วหลุดออกมาเอง คุณอาจจะเจ็บพักนึง เดี๋ยวก็หาย จากที่คุณแม่จะหายเครียด เลยกลายเป็นเครียดต่อ ต้องไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว ขอให้เค้าอยู่ ขอให้ตัวโตๆ อยู่กับแม่นี่แหละ ไม่ไปไหน คุณหมอให้ยากันแท้งมากินก็จะกินทุกวัน หนูจะได้อยู่ แต่หนูต้องตัวโตๆนะ

พอไปเที่ยวก็ใจตุ้มๆต่อมๆ ทั้งเดินเยอะ ทั้งวิงเวียน แต่ก็พยายามดูแลท้องให้ดีที่สุด จากที่ชอบอาหารญี่ปุ่นกลายเป็นไม่อยากกินซะอย่างนั้น ชอบกินแต่อาหารฝรั่ง ได้กลิ่นนมกลิ่นเนย พวกขนมปังนี่จะชื่นชอบและตื่นตัวเป็นพิเศษ จนกลับมาจากไปเที่ยวแล้วไปหาหมออีกรอบ คราวนี้คุณหมอดูน้องแล้วบอกว่า น่าจะโตเป็นปกติแล้วล่ะ ไม่น่าจะมีอะไร คุณแม่ก็โล่งอก แต่หมอก็ไม่ให้ไว้วางใจ ให้ดูแลตัวเองดีๆตลอด 5 เดือนแรก เพราะเป็นคนมีลูกยาก เครื่องในข้างในก็ไม่ค่อยจะดีเหมือนชาวบ้านเค้า หมอก็กลัวไปด้วย แต่ก็ยังขู่ไม่ให้กินน้ำตาลกับแป้งเยอะ ให้น้ำหนักขึ้นน้อยๆ ไม่ต้องพรวดพราด 20-30โล เอาแค่ 12 โลก็พอแล้ว

คั่นเวลานิดนึง อยากจะแนะนำคนที่กำลังแพลนว่าจะมีน้องนะคะ ให้กินโฟลิคก่อนท้องสัก 3 เดือน แล้วพอท้องก็กินต่ออีก 3 เดือน จะช่วยเรื่องสมองกับลูกน้อยมาก อีกอย่าง ถ้าคิดว่าตัวเองท้อง อย่าอิดเอื้อนที่จะตรวจ อย่าแบบว่า ไม่อยากรู้ผลแล้วปล่อยเอาไว้ ยิ่งตรวจ ยิ่งรู้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะการฟอร์มตัวสร้างอวัยวะจะอยู่ที่ 2-3 เดือนแรก ช่วงนี้ถ้าเราไม่รู้ว่าท้องแล้วไปกินยาสุ่มสี่สุ่มห้าจะเป็นอันตรายกับเด็กนะคะ แนะนำว่าให้รีบๆตรวจ รีบๆรู้ รีบๆฝากครรภ์ หมอจะได้แนะนำถูก แล้วก็ให้กินยาบำรุงกันแต่เนิ่นๆเลย ดีกับลูกมากมาย

ตลอด 3 เดือนแรก จะว่าแพ้ก็แพ้นะ แต่คิดว่าไม่มากเท่าคนที่หนักจริงๆเท่าไหร่คะ แค่วิงเวียน ไม่อยากกินอะไรทั้งสิ้น อยากอาเจียน แต่ไม่อาเจียน ท้องอืด ลมดัน ง่วงนอน กินเท่าไหร่ก็น้ำหนักไม่ขึ้น แปลกใจ เพราะไปกินพิซซ่าเป็นว่าเล่น อย่างที่บอก ไม่ชอบอาหารอะไรเลยนอกจากฝรั่ง ก็เลยกินแต่อาหารฝรั่ง จนหมด 3 เดือนแรก อาการก็หายเป็นปลิดทิ้ง งงมาก เพราะเหมือนคนปกติแล้ว เดินเหินสะดวกสบาย
ที่โรงพยาบาลเค้าก็จะมีคอร์สคุณแม่มือใหม่ให้ เรียนฟรี แค่ไปลงทะเบียน แต่ต้องฝากครรภ์กับโรงพยาบาล ไปถึงก็จะมีคนมาสอนออกกำลังกาย คนเข้าเรียนส่วนใหญ่มีแต่เด็กๆทั้งนั้นน่ะคะ ก็พ่อแม่มือใหม่นี่นะ ส่วนใหญ่ก็อายุไล่ๆกัน ไม่เกิน 30 ออกกำลังกายเสร็จก็เป็นคอร์สโภชนาการ มีนักโภชนาการมาบอกว่าต้องกินอะไรบ้างเยอะมากน้อยแค่ไหน อันไหนไม่รู้เราก็ถาม ซึ่งตรงนี้จะได้ประโยชน์มาก เช่น คุณแม่ไม่ควรกินนมวัวเยอะๆ ไม่ใช่คิดว่าดีแล้วตะบี้ตะบันกิน เพราะลูกจะออกมาแพ้นมวัวได้ ให้กินนมวัว สลับกับนมอย่างอื่น เช่นนมถั่วเหลืองบ้าง น้ำส้ม ก็ให้กินส้มเป็นลูกแทนการกินน้ำส้มเป็นแก้ว เพราะน้ำส้มแก้วนึงเท่ากับใช้ส้ม 3-4 ลูก แค่คุณกินส้มธรรมดาลูกเดียวกอิ่มจะแย่อยู่แล้ว นี่ตั้ง 3 ลูก น้ำตาลจะสูงขนาดไหน ส่วนปลาก็กินแล้วดี โดยเฉพาะปลาทะเลที่มีโอเมก้า-3 เช่นแซลมอน แต่ก็ไม่ใช่กินทุกวัน กินอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน กินทุกวันก็อาจจะต้องระวังสารปรอทนิดส์นึง ปลาอีกอย่างที่ดีคือปลาทู ปลาที่ห้ามเลยคือปลาดาบ ไข่ก็ต้องกิน ส่วนที่ว่าไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ต้ม ต่างกันไหม พี่เค้าบอกว่าไม่ต่าง แค่บางอันมีน้ำมันเยอะ เราก็เลือกกินเอาแล้วกัน น้ำมะพร้าวก็กินได้ แต่ต้องให้อายุครรภ์เกิน 7 เดือนก่อนนะคะ เพราะมีฮอร์โมนเพศหญิง ต้องรอให้ลูกโตก่อน กินก่อนนั้นจะไม่ดี

น้ำหนักคุณแม่ขึ้นอยู่กับว่าก่อนท้องอ้วนหรือผอม ถ้าผอมอยู่แล้วก็ขึ้นได้ถึง 18-20 โล แต่ถ้าอวบอ้วนตึงๆแบบคนเขียนอยู่แล้ว เอาแค่ 12 โลก็พอ ดังนั้น ไม่ใช่เห็นอะไรอยากกินก็สวาปามเข้าไปหมด น้ำหนักขึ้นเยอะ ลูกตัวใหญ่ออกเองไม่ได้นะ แป้งกับน้ำตาลให้ควบคุมกันด้วย ล่อเค้กทีละ 2 ปอนด์นี่ก็ไม่เอา ลูกตัวใหญ่เพราะน้ำตาลกับแป้งนี่จะดีหรือ น้ำอัดลมก็ลดๆลงหรือไม่กินไปเลยก็จะดีมาก
จากนั้นพี่พยาบาลก็จะมาเล่าถึงพัฒนาการของเด็ก ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนคลอด อาการแพ้ท้อง อาการที่อาจเกิดขึ้นระหว่างท้อง วิธีแก้ไข แล้วก็แพ็คเกจของโรงพยาบาล เดี๋ยวพอใกล้ๆคลอดก็จะได้เข้าคอร์สแอดวานซ์ ซ้อมเบ่ง อาบน้ำลูก ดูแลลูกหลังคลอดอะไรอย่างนี้นะคะ

จบเรื่องอคร์สแล้วจะเล่าเรื่องท้องต่อ ตอนแรกที่รู้ว่าดิ้นก็ประมาณ 5 เดือน โห มันช่างน่าตื่นเต้นนะคะ เหมือนอะไรดิ้นๆอยู่ในท้อง หลังจากนั้นก้จะรู้สึกว่าเค้าดิ้นทุกวัน สนุกดี แล้วก็อ่านหนังสือเยอะๆ โดยเฉพาะการฝึกพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ มีหนังสือเล่มนึงอยากจะแนะนำ เพราะคุณหมอคนเขียนเขียนไว้ดีมากๆ อ่านแล้วน่าติดตาม ชื่อ “ลูกฉลาดได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์” พออ่านแล้วจะรู้สึกว่า เค้ารับรู้ตั้งแต่อยู่ในท้องเราแล้ว ทำให้เราพยายามฝึกให้เค้าฉลาดตั้งแต่อยู่ในท้องกันเลย ให้ฟังเพลงคลาสสิค พูดคุยกันทุกๆวัน เล่านิทานให้ฟังก่อนนอน พังเพลงก็ต้องฟังเพลงเดิมๆ วันละ 15-20 นาที ฟังบ่อยเกินไปเดี๋ยวเค้ารำคาญ เล่านิทานก็ต้องเรื่องเดิมๆ จะได้จำได้ ถ้าคุณแม่ได้นั่งม้าโยกด้วยก็จะดีมาก เพราะเป็นการฝึกการทรงตัวให้เจ้าตัวน้อย มีพี่คนนึงบอกว่าเค้าให้ฟังชินบัญชร แล้วนังม้าโยก ลูกออกมาคอตั้งเร็วมาก แล้วเค้าจะสงบ เรียบร้อย ไม่โยเย แต่ท่าทางลูกเราอาจจะไม่ได้เหมือนพี่เค้า เพราะแม่ชอบเม้งแตกทุกวัน สมาธิก็ไม่เคยทำ วอกแวกเหลือเกิน จริงๆเข้าใจว่าคุณแม่ทุกคนตอนท้องก็คงได้อ่านเรื่องพวกนี้อยู่แล้วล่ะ แต่ก็อยากจะเล่าอีก อยากจะแนะนำหนังสือดีๆให้ได้อ่านกัน

พอครบ 6 เดือน ก็ไปอุลตร้าซาวด์ครั้งใหญ่ ไปดูอวัยวะภายในของลูก กระดูกสันหลัง กระดูกส่วนอื่นๆ แขน ขา สมอง แกนสมอง น้ำในสมอง หัวใจ ตับ ไต ทางเดินเลือด และเพศ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกงงๆ ว่าเดี๋ยวนี้เค้าดูได้ขนาดนี้แล้วเหรอ ตื่นเต้นมาก คิดว่าจะเอาไปโม้ให้พี่สะใภ้ฟัง อุตส่าห์เตรียมแผ่นดีวีดีที่คุณหมออัดให้ไปขี้คุยว่าเดี๋ยวนี้เค้าทำอย่างนี้ได้แล้วนะ ที่อุดรคงไม่มีหรอก แต่เพื่อความเซฟเลยไปเล่าให้ฟังก่อนว่าไปทำอย่างงี้ๆมา พี่สะใภ้บอกว่า อ๋อ ที่อุดรก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน ตอนท้องน้องอิก น้องอ๋อง หมอก็ดูให้ ดูพวกขนาดสมอง อวัยวะภายใน แหม... จากที่เราจะโม้ต่อเลยรีบเก็บอุปกรณ์เลย ที่อุดรมีเหมือนกันก็ไม่บอก โธ่เอ้ย... ดีนะ ไม่ปล่อยไก่ขี้คุยไปมากกว่านี้ เรื่องเพศลูกเหรอคะ ไม่บอกคนอ่านแล้วกัน ไว้เจอกันคงจะได้รู้เอง

ตอนที่เขียนนี่ก็ 7 เดือนแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็คลอด ตื่นเต้น วิตกกังวลน่าดู แต่ก็ถือว่าตัวเองโชคดีกว่าอีกหลายๆคน ที่กว่าจะได้ลูกคนนี้มา ไม่ต้องถึงกับไปผ่านกระบวนการที่ไม่ธรรมชาติ ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องเสียใจถ้าวิธีการพวกนั้นไม่สำเร็จ รู้สึกเห็นใจคนมีลูกยากจริงๆ ของตัวเองนี่ก็แค่เสียใจบ้างบางเดือนที่เค้ายังไม่มาสักที กลัวซีสต์จะกลับขึ้นมาอีก จนต้องไปผ่าตัดอีกรอบ ดีที่ลูกมาก่อน เหมือนฟ้าประทานให้มาเลยล่ะคะ ฉบับหน้าตอนเขียนคงใกล้คลอดเต็มทน แต่จะหาเรื่องอื่นๆมาเล่าให้คนอ่านฟังดีกว่า เดี๋ยวจะเบื่อกันไปซะก่อน แล้วเจอกันนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น