วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2549

พาไปเที่ยว … พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ

พาไปเที่ยว … พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ 17/11/2549

ฉบับนี้ขอมาแปลกหน่อยนะคะ คือว่าจะพาไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่สุดแสนจะตื่นตาตื่นใจกันสักที่ อาจจะไม่ได้อยู่ในอุดรธานี แต่เชื่อว่าถ้าใครได้เคยไปที่นี่คงจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มีที่อย่างนี้ในเมืองไทยด้วยเหรอ

จริงๆที่เลือกที่นี่ขึ้นมาก็ด้วยโอกาสเหมาะกับช่วงที่พึ่งเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิที่คนไทยแสนจะภาคภูมิใจ (เฉพาะโครงสร้างภายนอก) เพราะพิพิธภัณฑ์ที่ว่านี่อยู่ในเขตจังหวัดสมุทรปราการ ใกล้กับสุวรรณภูมิแค่ 30 นาทีเองคะ

พอพูดว่าอยู่จังหวัดสมุทรปราการ หลายคนคงบอก เอ้ย...อย่างงี้ต้องนั่งรถไปเป็นชั่วโมงเลยดิ ต่างจังหวัด โอ้..ไม่ ไม่เลย ถึงจะชื่อสมุทรปราการ แต่ถ้าขับรถไปนี่ถึงก่อนสุวรรณภูมิอีกนะเอ้า คืองี้ พอเราขึ้นทางด่วนเส้นที่จะไปบางนาอ่ะนะคะ มันก็จะผ่านคลองเตย ผ่านท่าเรือ แล้วเราก็จะสังเกตเห็นปั๊ม ปตท. บนทางด่วน นั่นหล่ะคะ ขับเลยไปสักหน่อยจะเห็นทางแยกไปสมุทรปราการ ก็ไปทางนั้น พอเข้าสมุทรปราการก็ตรงไปสัก 10นาที ผ่านพวกบริษัทรถยนต์ต่างๆอย่างฮอนด้า โตโยต้า พอเห็นทางข้างหน้าที่เค้ากำลังก่อสร้างทางด่วนอีกเส้นล่ะก็ใช่เลย ขับช้าๆนะคะ สักพักคุณจะเห็นช้างขนาดใหญ่โตมโหฬารชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คุณอาจจะนึกว่าอืมมม สูงสักตึก 3 ชั้นได้มั้ย อุ้ย... อันนั้นประมาณกันต่ำเกินไป ช้างเชือกนี้รวมอาคารมีความสูงเทียบเท่ากับตึก 17 ชั้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ คนเขียนนี่ผ่านไปทีแรกขอบอกเลยว่าโอ้พระเจ้าจอร์จ อะไรกันนี่ ตะลึงตึงๆ เชื่อว่าทุกคนที่ได้เห็นก็ต้องตะลึงตึงๆเหมือนกัน ขอเชิญชวนให้ลองไปเที่ยว ไปกราบไหว้กันสักครั้ง

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงงง เอ๊ะ ช้างเอราวัณนี้มีที่มาที่ไปยังไง ก็คือว่า ช้างเอราวัณนี่เป็นช้างเทวดา เป็นช้างพาหนะของพระอินทร์ อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนามว่า เอราวัณเทพบุตร โดยปรกติจะมีทั้งหมด 33 เศียร แต่เพื่อให้การก่อสร้างดูสวยงามสมส่วนจึงลดให้เหลือสามเศียร พูดง่ายๆคืออาศัยความสวยงามเป็นสำคัญ องค์ช้างอยู่ในท่วงท่าส่ายเศียร ยืนอยู่เหนือยอดโดมของอาคารที่รองรับ ก่อสร้างบนพื้นที่ 12 ไร่ พิพิธภัณฑ์นี้เป็นของเอกชนนะคะ ไม่ใช่ของรัฐ ใครที่นึกภาพว่าพอพูดถึงพิพิธภัณฑ์แล้วคงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ให้ลองมาที่นี่ดูแล้วคุณจะเปลี่ยนความคิดทันที คนสร้างเค้าสร้างด้วยใจ ไปถึงแล้วจะรับรู้ได้ว่าเค้าตั้งใจสร้างออกมาจริงๆ

คนที่คิดจะสร้างที่นี่เป็นคนแรกก็คือคุณเล็ก วิริยพันธุ์ แต่คุณเล็กได้มอบหมายให้ลูกชายก็คือ คุณพากเพียร วิริยพันธุ์เป็นคนสร้างต่อ เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2537 แต่ทั้งสองท่านก็เสียชีวิตลงก่อนที่จะมีการเปิดอย่างเป็นทางการ ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะคนทั้งสองคงตั้งใจอยากจะเห็นตอนที่สร้างสำเร็จสมบูรณ์นะคะ อ้อ... ทั้งสองท่านเป็นเจ้าของบริษัท วิริยะประกันภัย และ ธนบุรีประกอบรถยนต์ค่ะ จุดประสงค์ของการสร้างที่นี่ก็เพื่อให้เป็นที่เก็บพระพุทธรูป และศิลปวัตถุของโบราณค่ะ จะได้ไม่รั่วไหลออกไปนอกประเทศ

มา คราวนี้เราจะมาลองเข้าไปดูกัน พอขับรถเข้าไปก็ไปจอดในที่จอดรถ จะมีรถกอล์ฟมารับไปส่งที่หน้าประตูอีกที หรือจะเดินไปก็ได้ไม่ไกล สภาพแวดล้อมโดยรอบ ตกแต่งเป็นสวนไว้สวยงามมากเลยค่ะ น่าเดิน น่าชม ก่อนเข้าก็ต้องซื้อบัตรก่อน มีสองราคา คือราคาที่แค่เข้าไปไหว้ข้างนอก กับอีกราคาคือราคาที่สามารถเข้าไปชมในอาคารและเดินขึ้นไปถึงท้องช้างได้ ราคาอย่างแรกนี่ไม่ทราบแน่ชัด น่าจะแค่คนละ 50 บาท แต่อย่างหลังคือ 150 บาท สำหรับผู้ใหญ่ และ 50 บาท สำหรับเด็ก อายุ 6-12 ปี ต่ำกว่านั้นก็เข้าฟรีล่ะคะ

เสร็จแล้วก็ไปรอรับบัตรไว้ติดที่เสื้อเพื่อรอรอบเข้าไปชมด้านในซึ่งจะมีทุกๆครึ่งชั่วโมงได้ พอได้เวลาก็จะมีไกด์พาเดินเข้าไป ในตัวอาคารแบ่งเป็นสามส่วน ส่วนแรกเรียกว่าชั้นใต้ดิน หรือบาดาล (นาคพิภพ) เป็นห้องที่ไว้จัดแสดงโบราณวัตถุที่เจ้าของเก็บสะสม และก็จัดแสดงนิทรรศการความเป็นมาในการก่อสร้างสถานที่นี้ เค้าก็จะให้เราเดินวนรอบนึง ดูของมีค่าต่างๆ ชิ้นที่คนเขียนเห็นว่าน่าสนใจที่สุดก็คือชุดน้ำชาที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าให้ทำขึ้นมา 4 แบบ เพื่อเป็นของที่ระลึกในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพพระอรรคชายาเธอ พระราชโอรส และพระราชธิดา ที่สิ้นพร้อมกันในปีเดียวกัน นำความเศร้าโศกเสียพระทัยมาให้แก่พระองค์เป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ สมเด็จเจ้าฟ้าสิริราชกกุธภัณฑ์ สิ้นเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2430 พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคย์นารีรัตน์ สิ้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2430 สมเด็จเจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย สิ้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2430 และสมเด็จเจ้าฟ้าตรีเพชรุตม์ธำรง สิ้นเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2430 ถือเป็นของที่หายากมากค่ะ แต่เจ้าของก็ยังสู้อุตส่าห์ไปหามาได้

พอเสร็จจากชั้นแรก เราก็เดินขึ้นไปบนโถงของอาคารทรงโดม ส่วนนี้ถือเป็นส่วนของโลกมนุษย์ จะมีศิลปะหลายๆแบบรวมกันอยู่ภายใน มีทั้งงานปูนปั้น งานดีบุกดุนลาย เพดานกระจกสีรูปแผนที่โลกและจักรราศี มีทั้งศิลปะแบบตะวันตกและตะวันออก มีบันไดวนยาวขึ้นไปแล้วแยกเป็นสองข้างเรียกว่าบันไดเงิน และบันไดทอง ตรงบันไดนี่เค้าประดับด้วยอะไรรู้มั้ยคะ เค้าเอาเหมือนถ้วยเบญจรงค์มาทำให้แตกแล้วเอามาประดับที่บันได บางทีก็เป็นช้อนกระเบื้องเรียงกันหลายอัน โอ้ย...ทำไปได้ยังไงก็ไม่รู้ รู้แต่สวยจริงๆ พอขึ้นบันไดไป ตรงกลางก่อนที่จะแยก จะมีรูปพระโพธิสัตว์สมัยเก่า น่าจะมาจากเมืองจีนให้ได้ไหว้กันด้วย แล้วคณะก็จะพากันขึ้นบันไดไปรอจุดพักด้านบนของอาคารรูปโดมก่อน

พอมารวมกันที่จุดพักได้ทั้งหมด คราวนี้ไกด์ก็จะพาเราขึ้นไปถึงท้องช้าง ใครใคร่เดินขึ้นบันไดวน ก็ขึ้น ใครใคร่ขึ้นลิฟต์ ก็ไป ก็แหงล่ะ ไม่ได้มีแต่หนุ่มๆสาวๆมาเที่ยวหนิ คนมีอายุเค้าก็มา จะให้เดินขึ้นบันไดวนมีหวัง หน้ามืดก่อนจะถึงท้องช้างกันพอดี ปะป๊าบอกว่า มีคนเดินขึ้นบันไดแล้วพูดว่า โอ้ย... หัวใจสั่น ป๊าบอก ถ้าเจออาการแบบนี้นี่ต้องไปเช็คหัวใจ สงสัยไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย จะว่าไปคนเขียนเองก็เหมือนกันล่ะนะ รอบแรกไปกับน้องสาวนี่เดินขึ้นลิ่วๆ รอบสองไปกับหลานๆ กลัวหลานเหนื่อย เลยหยวนๆขึ้นลิฟต์ไปเฉยเลย ปล่อยให้สองคนตายายขึ้นไปกันเอง

ก่อนจะถึงท้องช้างเราจะได้พักกันก่อนสักแป๊บ ตรงนั้นจะมีช่องกระจก ถ้าใครได้ไปให้มองไปที่ท้องช้างเลย จะเห็นกระจกสองบานอยู่ ตรงนั้นล่ะคะ คุณต้องเดินขึ้นไปให้ถึงตรงนั้น แล้วจะได้วิวทิวทัศน์สุดยอด หลานสองคนนี่มันก็ช่างไม่กลัวความสูง ไปถึงก็ไปเกาะกระจกคุยกันกระหนุงกระหนิง 5 ขวบกับ 4 ขวบ “คุณพอชดูนั่นสิ” “คุณอิก ดูนั่นดูนั่น” เด็กน้อ ...

พอได้พักสักหน่อย เราก็เดินขึ้นไปอีกชั้น อย่างที่บอกคือชั้นนี้คือท้องช้างแล้ว เป็นส่วนที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พอไปถึงนะ คุณจะรู้สึกสงบเลยแหละ อยากนั่งอยู่บนนั้นนานๆ ข้างบนจะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปสมัยต่างๆ ส่วนผนังและเพดานจะตกแต่งด้วยภาพเขียนสีฝุ่นรูปสุริยจักรวาล เป็นไงล่ะ แค่อ่านที่เขียนมานี่ก็แทบเคลิ้มแล้วมั้ยล่ะ แนะนำให้ไปเที่ยวจริงๆ ขนาดคนเขียนไปสองเที่ยวแล้วยังอยากไปอีกเลย

พอไหว้พระพุทธรูป นั่งสงบจิตใจ (จากความเหนื่อย) คราวนี้ก็เดินลงมา ขาขึ้นขึ้นกันเป็นขบวน แต่ขาลงนี่ตัวใครตัวมัน ใครอยากลงตอนไหนก็ลง ใครอยากนั่งแช่อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็เชิญ ไอ้เราก็ยกขบวนกันลงมา ข้างล่างเค้ามีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะแยะ พอลงมาได้ก็เอาบัตรไปแลกธูปเทียน ดอกไม้ แล้วก็ไปไหว้องค์ช้าง สวดมนต์ขอพร เสร็จแล้วก็ไปเอาดอกบัว เค้าจะเอาดอกอ่ะนะคะ เฉพาะดอก ใส่ถ้วยแก้วเอาไว้ แล้วก็ไปถือเป็นถ้วยมาลอยลงในสระข้างอาคาร เป็นสระที่ปล่อยให้น้ำไหลออกไป คือไม่ใช่สระที่อยู่นิ่งๆล่ะ ดอกบัวก็ลอยไป อันนี้เด็กๆชอบมาก ถ้าลอยผิดดอกบัวก็จะคว่ำเลยเชียว

โห... นี่พูดยาวจนเที่ยวจะหมดรอบอาคารแล้วยังไม่ได้พูดถึงรายละเอียดโครงสร้างของอาคารนี้เลย ช้างเชือกนี้ใช้ทองแดงบริสุทธิ์ทำค่ะ ขั้นแรกคือจะทำโครงสร้างช้างขึ้นมาก่อน แล้วก็ปิดหุ้มด้วยแผ่นทองแดง ที่เป็นทองแดงนี่เพราะเวลาผ่านไปจะมีสนิมสีเขียวจับ ทำให้ผิวช้างมีลวดลายขึ้นมาอีกด้วยค่ะ และด้วยความที่ไม่ใช่ช้างสามัญชน เพราะท่านเป็นถึงช้างเทวดาก็ต้องมีเครื่องทรง ซึ่งดูสวยอลังการสุดๆ เรียกว่าช่างที่ทำต้องประณีตกันพอสมควรเลยทีเดียว น้ำหนักของลำตัวช้างอยู่ที่ 150 ตัน นี่ยังไม่รวมเศียรช้างนะคะ แค่เฉพาะเศียรช้างก็ 100 ตันไปแล้ว เค้าสร้างกันออกมาได้ยังไง

ว่าแล้วก็มีเรื่องเล่าลือจะมาเล่าให้ฟัง คิดว่าคงจะถูกใจคอหวย เค้าว่ากันว่ามีคนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเพราะท่านมานักต่อนัก ถึงขนาดบอกว่า ถ้าจ้องมองที่เศียรช้างนานๆ จะเห็นตัวเลขลอยออกมาๆ (ของอย่างงี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่) แต่ถ้าบนอะไรไว้ก็ต้องไปแก้บนด้วยนะคะ เพราะถ้าไม่แก้นี่อาจจะเจอดีโดนตื้บก็ได้ ยิ่งช่วงหวยจะออกนี่ เค้าว่ามีคนมาเซ่นไหว้เยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งนี้ทั้งนั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการวิเคราะห์เรื่องนี้ด้วย

อุ้ยเอาล่ะ.... เล่ากันมาตั้งนาน เอาเป็นว่าอยากจะขอเชิญชวนให้ทุกคนลองไปเที่ยว ยิ่งถ้าใครได้ขึ้นเครื่องบินบ่อยๆ แบบจะกลับอุดรแล้วพอมีเวลาว่างสัก 2-3 ชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่องก็ลองไปดู นี่คนเขียนจับเวลาตั้งแต่ออกจากคอนโดแถวพญาไท ไปถึงสมุทรปราการนี่ก็แค่ครึ่งชั่วโมง (วันอาทิตย์) ไม่ขาดไม่เกิน ไม่ไกลเลย เพราะเป็นทางด่วน แล้วออกจากพิพิธภัณฑ์ ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ แค่ครึ่งชั่วโมงเอง ได้ไปเห็นอะไรที่ใหญ่โตมโหฬารมหึมาน่าเคารพบูชาขนาดนี้ เรียกว่าไม่เสียเที่ยวล่ะคะ นี่เดี๋ยวถ้ามีโอกาสจะเล่าเรื่องเมืองโบราณให้ฟังอีกทีแล้วกัน อันนี้ก็อะเมซิ่งไทยแลนด์ไม่ต่างกัน ช่างทำได้ เจ้าของคนเดียวกันด้วยค่ะ อีกที่นึงที่ยังไม่ได้ไปคือปราสาทสัจธรรม ไว้ได้ไปแล้วจะมาเล่าสู่กันฟังนะคะ เจอกันฉบับหน้า ขอให้โชคดีในการเดินทางและการใช้ห้องน้ำที่สุวรรณภูมิ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น