วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2549

ทำงานที่บ้าน กับ ทำงานที่บริษัท

ทำงานที่บ้าน กับ ทำงานที่บริษัท.... ชีวิตที่แตกต่าง 15/1/2550

ฉบับนี้อยากจะเล่าอะไรที่มันดูใกล้ๆตัว ซึ่งก็อาจจะเป็นเรื่องที่ใครหลายๆคนเคยต้องตัดสินใจสมัยที่พึ่งเรียนจบใหม่ๆ เหมือนเป็นช่วงหักมุมของชีวิตช่วงหนึ่ง บางคนอาจจะพบว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยากมากที่ต้องเลือกระหว่างสองอย่างนี้ คือกลับไปทำงานที่บ้าน หรือสมัครทำงานเป็นพนักงานบริษัทข้างนอกดี โดยเฉพาะบริษัทที่อยู่กรุงเทพ อยู่เมืองหลวง หลายคนอาจจะโดนกดดันจากครอบครัวว่าต้องกลับมาอยู่อุดร ทั้งที่นึกเสียดาย หลายคนอาจจะเลือกได้ว่าทำที่กรุงเทพก่อนก็น่าจะดี ได้ประสบการณ์ หรือบางคนอาจจะเลือกเลยว่ากลับไปทำที่บ้านนั่นแหละ สบายแล้ว ไม่ว่าจะเลือกทางไหน แต่ละทางก็มีทั้งข้อดีข้อเสียนั่นแหละค่ะ

จากประสบการณ์ที่ได้ทำทั้งสองอย่างในตอนนี้ เลยอยากจะเอามาวิเคราะห์ให้ได้อ่านกัน ว่าถ้าเลือกแต่ละทางคุณต้องเจออะไรบ้าง อันไหนมันมีข้อดีข้อเสียต่างกันยังไง แล้วอาจจะมีบทแถมให้อีกนิดนึง ว่าหลังเกิดเหตุการณ์ช่วงปีใหม่แล้ว มนุษย์ปุถุชนคนเดินดินในเมืองหลวงของประเทศไทยต้องเจอกับอะไรกัน

ก่อนอื่นคงต้องร่ายยาวเรื่องประวัติกันให้ทราบก่อน สมัยเรียนจบมาใหม่ๆอะนะคะ ตอนนั้นจริงๆแล้วถือเป็นช่วงที่ยากมากที่จะเลือกว่าจะทำที่ไหนดี เพราะความที่ไฟแรงไง จบมาใหม่ๆ มันร้อนวิชา ถ้ากลับไปบ้านก็ไม่ได้ลองดิ วิชาเนี่ย แต่ถ้าอยู่กรุงเทพ อาจจะได้เติบโตในหน้าที่การงาน (คือบังเอิญคิดว่างานมันหาง่ายไง) พ่อแม่ก็วางระเบิดให้กลับไปอยู่บ้านก่อน สร้างบ้านใหม่ให้เสร็จสรรพเลยนะ มีห้องใหม่ จากห้องเดิมที่ขนาดเท่าแมวดิ้นตาย ตอนนี้ นอกจากควายแล้ว ต่อให้แมวอีก 10 ตัวดิ้น ยังมีที่เหลืออีกสองไร่กว่า ก็เอาสิ สบายเลย ติดที่ ติดห้อง ติดพ่อแม่ ที่สำคัญติดหลานตัวเล็กๆ น่ารักน่าชัง เลยได้ติดแหงกอยู่ที่อุดรถาวรไปเลย

ความจริงเคยไปสมัครงานเหมือนกัน มันก็นึกถอดๆใจด้วยละคะ เพราะโลกความจริงมันไม่เหมือนนิยาย กว่าจะผ่านกระบวนการสอบ สัมภาษณ์ แต่ละบริษัทไม่ได้รอบเดียวด้วยนะ บางที่6-7 รอบ สอบภาษา สอบโลจิก แล้วสุดท้ายก็ไปค้นพบว่า แต่ละที่ต้องการให้เราออกต่างจังหวัดช่วงปีสองปีแรก ก็เอาสิ พ่อแม่จะให้เรอะ .. เป็นสาวเป็นนางขนาดนั้น คือบังเอิญว่างานที่สมัครมันเป็นการตลาดของสินค้าอุปโภคบริโภคไง เลยเป็นอันว่าถ้าจะต้องไปค้างอ้างแรมอย่างงั้นคงไม่ได้ความเห็นชอบจากไทเฮาแน่ๆ เลิกคิดได้

ก็เลยอยู่อุดรเรื่อยมา บริหารกิจการร้านทอง ตั้งตำแหน่งให้ตัวเองเสร็จสรรพ อยากนอนตื่นสายหน่อยก็นอน อยากดูหนังดึกๆดื่นๆก็ทำ ขี้เกียจเฝ้าหน้าบ้านก็ไปเขียนหนังสือบ้าง สอนหนังสือบ้าง อู้ย...ชีวิตมีความสุข แต่...ตลอดเวลาก็ยังนึกเสียดาย แล้วมันก็รบกวนจิตใจมาตลอดว่า เอ๊ะ คนอื่นเค้าทำงานบริษัท เรียนรู้ชีวิต ทำไมเราไม่ได้ตรงนั้นบ้าง ถ้าไปทำก็อาจจะเติบโตมีหน้ามีตา มีเงินเดือนเหมือนชาวบ้านเค้า ก็นึกเสียดายอย่างงี้มาตลอด แต่ก็ยังใช้ชีวิตสะดวกสบายอยู่ที่บ้านอยู่

จนวันนึง หลังจากเข้าสู่ประตูวิวาห์ ชีวิตก็เปลี่ยนสิคราวนี้ ลงมาอยู่กรุงเทพ ไอ้ครั้นจะนั่งเป็นคุณนายมันก็กระไรอยู่ ช่วงเดือนสองเดือนแรกอาจจะพอทน แต่พอเดือนที่สามสี่นี่ง่อยไปเลยนะ คนอื่นเค้าทำงานกัน อีนี่นั่งกินนอนกิน เลยตัดสินใจไปสมัครงาน โชคดีที่คราวนี้ได้งานเร็วกว่าที่คิด เลยได้เริ่มต้นชีวิตสาวออฟฟิศชนิดที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน หลังจากทำงานมาได้ห้าเดือน เลยจะขอวิเคราะห์ให้อ่านเป็นฉากๆเลยว่าความรู้สึกมันต่างกันยังไง

เริ่มจากประเด็นแรกเลยคือบทบาทที่เราต้องสวม สมัยอยู่ที่บ้านอยู่ในตำแหน่งลูกสาวเจ้าของ แล้วพอดีเป็นลูกสาวคนเดียวด้วย ถ้าไม่นับพี่สะใภ้ ข้าพเจ้าก็คือเจ๊ใหญ่สั่งลุยล่ะ มีลูกน้องเต็มบ้าน ธุรกิจก็ของตัวเอง ทำงานไปเรื่อยๆ ผิดก็ยอมโดนแม่ด่านิดๆหน่อยๆ หรือไม่ พอผิดก็ทำเป็นว่าตัวเองไม่ผิดก็ได้ ใครจะทำไม อยากขายก็ขาย ไม่อยากขายก็ไปนั่งอ่านหนังสือ หิวก็เข้าไปกิน ง่วงก็แอบไปนอนน้ำลายยืด ก็บ้านฉัน ฉันจะนอน

แต่... พอมาทำงานบริษัท คราวนี้ก็เปลี่ยนสลับบทบาทจากหน้ามือเป็นหลังมือ เผอิญบริษัทเป็นบริษัทข้ามชาติ นายใหญ่สุดอยู่สหรัฐ กว่าจะมาถึงเจ้านายที่เมืองไทยก็ต้องผ่านนายอีกหลายด่าน สรุปคือตัวเองเป็นลูกน้องเค้าหลายสิบขั้น นายๆทั้งหลายก็พูดอังกฤษ ไม่ได้พูดไทย พอตัวเองกลายมาเป็นลูกน้อง ถึงได้รับรู้ว่าต้องเจอความกดดันแค่ไหน บริษัทจะค่อนข้างคาดหวังกับเรามาก ต้องทำงานให้ดี มีผลงานดีๆ ทุกปีจะมีการประเมิน กลายเป็นฝ่ายถูกจับจ้อง ง่วงนอนอยากจะหลับตาสักแป๊บก็เกรงใจ ห้าโมงเย็นอยากกลับบ้านก็เกรงใจอีก กลัวเค้าว่ากลับเร็ว ชาวบ้านเค้ากลับกันทุ่มสองทุ่ม มีน้องคนนึง เจอนายว่าๆทำไมนั่งท่าเหมือนง่วงนอน เหมือนขี้เกียจ บางทีเห็นในห้องพักบ่อยๆก็เรียกหัวหน้าทีมไปถามว่า น้องคนนี้ไม่มีงานเหรอ ความรู้สึกลูกน้องเหมือนถูกจ้องมองตลอดเวลา ทั้งที่ในชั้นมีคนประมาณ 50 คน แต่นายรู้ทุกอย่าง นี่เลยเป็นความกดดันอย่างนึงที่เรารับรู้ได้หลังจากเข้ามาสวมบทบาทเป็นลูกน้อง บางคนโดนด่าก็ต้องยอมทน

ประเด็นที่สองคือเรื่องรายได้ ค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพ เอ่อนะ พูดรวมๆเลยแล้วกัน ถามว่าเป็นพนักงานบริษัทมีข้อดีไหม ในแง่นี้ดีแน่นอน คือมันไม่ค่อยมีความเสี่ยงไง ถ้าเทียบกับการทำธุรกิจด้วยตัวเอง เป็นพนักงานนี่ สิ้นเดือนเงินเดือนก็เข้าแล้ว พอดีได้ทำงานกับบริษัทข้ามชาติที่ใหญ่ แล้วไม่มีทางเบี้ยวแน่ๆ ก็มั่นใจได้เลย ทุกสิ้นเดือนเงินมาตรงเวลา เราเลยบริหารเงินเก็บของเราได้ดี ต่างกับการทำธุรกิจเองนะคะ อันนั้นผลได้ผลเสียของแต่ละเดือนอาจจะไม่เท่ากัน รับความเสี่ยงเองทั้งนั้น แม้แต่แม่ยังบอกเลย ถ้าเศรษฐกิจเป็นอย่างงี้อยู่ ลูกพยายามเกาะตำแหน่งลูกไว้เลยนะ อย่างงี้แหละสบายที่สุดแล้ว อย่าพึ่งมาคิดริเริ่มทำอะไรใหญ่โตตอนนี้ มันน่ากลัว เราก็ว่า เอ่อ จริงอย่างที่แม่พูด

แต่พอมาพูดถึงเรื่องค่าใช้จ่าย กับค่าครองชีพที่ต้องจ่ายในกรุงเทพ นี่ก็อีกเรื่อง โอ้โห อะไรจะมากมายขนาดนั้น ดีนะที่ไม่ต้องจ่ายค่าห้องเอง เพราะมีที่อยู่ไว้แล้ว เสียแค่ค่ากิน ค่าน้ำมัน ค่าเอนเตอร์เทนตัวเอง แค่นี้ก็บาน แล้วแถมกรุงเทพก็มีสิ่งล่อตาล่อใจเยอะ ไอ้ที่ได้เงินเดือนเยอะๆก็จะหายวับระหว่างเดือนได้ในพริบตา ถ้าไม่บริหารการเงินดีๆ ต่อให้เงินเดือนเยอะแค่ไหนก็มีสิทธิ์ช็อตได้ทั้งนั้น

ประเด็นต่อมาก็เรื่องการเดินทาง อันนี้อาจจะสั้นหน่อย เพราะมันเห็นภาพชัด ไม่ต้องสาธยายเยอะ อยู่อุดรนะ 5 นาทีถึง 10นาทีถึง อยู่กรุงเทพต้องแพลนล่วงหน้ากันเป็นชั่วโมง คิดจะไปทำงานแปดโมงก็ต้องออก เจ็ดโมง ออกจากที่ทำงานห้าโมง ถึงบ้านหนึ่งทุ่ม มักจะเป็นอะไรแบบนี้ เรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ถ้ามองดีๆมันก็เป็นปัจจัยที่สร้างความเครียดได้เหมือนกัน ถ้ารถติดมากๆ กว่าจะกลับบ้านก็ง่วงนอนแล้ว สุขภาพชีวิตเสีย กลายเป็นเจอโรคคนเมือง คือตื่นมาทำงาน กลับบ้านกินข้าวแล้วนอนเพราะเหนื่อย กำลังกายไม่ได้ออก แถมไปอยู่ในออฟฟิศ ก็เจอแต่มวลอากาศที่ร่วมกันใช้กับคนอื่น ไอก็อยู่ในนั้น จามก็อยู่ในนั้น วนๆรับกันไป วนๆติดโรคกันไป ใครไม่แข็งแรงจริงก็ติดกันเป็นวงอ่ะคะ พูดแล้วก็เสียวๆ ช่วงนี้น้องนั่งข้างๆไม่สบายหนักเหลือเกิน

นี่ยังไม่ได้นับผลพวงของการใช้ชีวิตแบบนี้ว่าอาจทำให้เราไม่ได้รับข่าวสารบ้านเมืองอย่างที่ควรจะเป็น ถ้าไม่ขวนขวายหาเอาจริงๆอะนะคะ ลองมาถามเด็กในออฟฟิศดูสิ เหตุการณ์บ้านเมืองตอนนี้เป็นไง ใครเขม่นใคร ใครกำลังสร้างเรื่องอะไร แทบไม่มีใครรู้ ทุกคนมีชีวิตเหมือนๆกันหมดคือกลับบ้านแล้วเหนื่อยแล้วนอน เวลาอ่านหนังสือพิมพ์ก็อ่านปกก่อน เสร็จแล้วพลิกไปหน้าบันเทิงทันที จากนั้นก็พับหนังสือพิมพ์ เสร็จ กลับไปทำงานต่อ อย่างเงี้ย เรื่องอะไรร้อนๆในบ้านเมืองเลยไม่ค่อยรู้ลึกกัน ไม่เหมือนกับอยู่ที่อุดรนะ ชีวิตค่อนข้างชิลด์ๆ มีเวลารับรู้ข่าวสารเยอะ หรือถึงไม่อยากรับรู้ ก็อาจจะได้ผ่านหูผ่านตาบ้าง ASTV เนี่ย

ประเด็นสุดท้าย เรื่องประสบการณ์ อันนี้คงไม่ต้องพูดถึง สิ่งที่ได้มันต่างกันระหว่างทำงานบริษัทกับมีกิจการเอง ทำงานที่บ้านก็คงได้แบบ sme ถ้ากิจการไม่ใหญ่จริงๆอะนะคะ know-how ก็มาจากพ่อแม่ สั่งสอนกันมา ขายอย่างงี้ ทำอย่างงี้ บัญชีเป็นแบบนี้ เจอลูกค้าอย่างงี้จัดการยังไง หลายอย่างก็เหมือนเรารู้อยู่แล้ว แค่กลับไปสานต่อเท่านั้นเอง

แต่การทำงานบริษัทมันไม่ใช่อย่างงั้น สิ่งที่คุณได้เรียนรู้ในธุรกิจที่คุณเข้าไปทำ มันมากมายมหาศาลเหลือเกิน อาทิตย์นึงมีประชุมกี่วัน ทั้งประชุมแผนก ประชุมทีมใหญ่ ประชุมทีมย่อย พอผู้บริหารใหญ่จากเมืองนอกมาก็ต้องเข้าไปนั่งพูดคุยด้วย ไหนจะวัฒนธรรมองค์กรอีก ไหนจะหน้าที่งานที่เค้าแบ่งระบบกันชัดเจน แล้วยังฝึกให้เราเรียนรู้ที่จะเดินไปในทางเดียวกัน

หลายเรื่องก็มาได้จากที่นี่ทั้งที่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง อะ อย่างเรื่องแรก อันนี้หลายคนคงทราบกันดี เงินเดือนนี่ถือเป็นความลับ ห้ามบอกให้ใครทราบ ทุกคนก็จะปฏิบัติตามนี้ เพราะถ้ารู้กันนี่ยุ่งตายเลย คนนั้นได้ขึ้น คนนี้ไม่ได้ขึ้น คนนั้นทำงานมานาน ทำไมได้น้อยกว่าคนนี้ที่พึ่งเข้ามาใหม่ โอ้ย..เยอะแยะจะสร้างปัญหา เรื่องที่สองที่จะยกตัวอย่างคือนโยบายเรื่องการรับของขวัญต่างๆ เค้ากำหนดไว้เลยนะคะว่ารับของขวัญจากคนภายนอกที่มาดีลกับบริษัทได้เท่านี้ ห้ามเกินเท่านั้นเท่านี้ เพราะมากเกินไปก็เหมือนให้สินบน เช่นเดียวกับการที่คนในบริษัทจะซื้ออะไรไปให้ลูกค้าด้วยเช่นกัน เรื่องใต้โต๊ะเลยไม่มีทางมี กรณีนี้รวมไปถึงลูกน้องให้เจ้านายด้วย อย่างถ้าจะให้ของขวัญผู้จัดการมูลค่าต้องไม่เกินเท่านั้นเท่านี้ อะไรอย่างงี้ แล้วก็ห้ามนำเหล้าเข้ามาในบริษัทเด็ดขาด จะใส่ไว้ในรถแล้วมาจอดในบริษัทก็ไม่ได้อีก ผิด

นอกจากนี้ก็ได้เรียนรู้ที่จะทำงานกับคนในหลายๆประเทศ ที่สำคัญได้พูดได้ใช้ภาษาอังกฤษบ้าง ก็ถือเป็นการฝึกฝนไม่ให้ลืม แล้วบริษัทก็จะมีคอร์สให้ไปเทรนตลอดเวลา เป็นการฝึกพนักงาน มีอะไรก็ให้เปิดใจคุยกับเจ้านาย มีนโยบายเกี่ยวกับการละเมิดความเป็นส่วนตัวด้วยนะ ใครมาตะคอกหรือพูดไม่ดีใส่นี่ ถ้าเรารายงาน คนนั้นโดนหนักเลย หรือถ้าใครมาทำป้อล้อทั้งที่เราไม่ชอบก็โดน ตัวอย่างที่รู้สึกสุดๆคือ ถ้ามีใครกำลังพูดกันอย่างเรื่องเพศสัมพันธ์ใกล้ๆเรา แล้วเราไม่ชอบ ไม่อยากฟัง รู้สึกไม่ดี นั่นก็ถือว่าละเมิดแล้ว สุดยอด ประสบการณ์พวกนี้ถ้าไม่ได้มาทำงานในบริษัทใหญ่ก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกันว่าเค้ามีอย่างงี้ด้วย ถือเป็นการเรียนรู้ที่ล้ำค่าค่ะ

ที่เขียนมานี่ คือไม่ได้เชียร์ หรือไม่ได้ตัดสินให้ว่าคนที่กำลังเลือกควรจะเลือกอะไรนะคะ แค่วิเคราะห์จากประสบการณ์จริง คนบางคนอาจจะมีมุมมองไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะรู้สึกว่าไปพัฒนางานที่บ้านนั่นแหละดี บางคนอาจจะมุ่งไปหาประสบการณ์ก่อน อันนี้ก็แล้วแต่คน แต่คนเขียนว่าถ้าได้ทั้งสองอย่างจะถือเป็นเรื่องดีมาก เพราะเราสามารถเอาประสบการณ์แต่ละอย่างมาประยุกต์ใช้ได้ แล้วถือเป็นการเปิดโลกกว้างให้กับตัวเองด้วยค่ะ

หลังจากวิเคราะห์จบแล้ว เดี๋ยวจะเล่าเรื่องของแถมให้ฟัง ด้วยความที่ตอนนี้ต้องอยู่กรุงเทพเป็นหลัก จะว่าดีก็ดี จะว่าเสียก็เสียนะการอยู่กรุงเทพ โดยเฉพาะหลังจากเกิดเหตุการณ์ 31 ธันวาคม ที่ผ่านมา จากที่เคยรู้สึกว่าอยู่เมืองหลวงชีวิตปลอดภัย ก็กลายเป็นไม่ปลอดภัยอย่างร้ายแรง ตรงนี้คงไม่ขอพูดถึงต้นเหตุว่าเกิดจากใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร พูดไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะมันเลวทรามต่ำช้ามาก

หลังจากผ่านวันนั้นมา มันทำให้การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไปพอสมควร จากที่ไม่เคยระแวดระวังก็ต้องคอยระวังมากขึ้น ซึ่งมันเกิดขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว รู้สึกอีกทีคือเราไม่ละเลยสิ่งรอบตัวเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้เวลาเดินริมฟุตบาทนะรีบจ้ำอ้าวให้มันถึงตึกเร็วๆ มองซ้ายมองขวา มองกองขยะริมข้างทาง แล้วก็ขับรถส่วนตัวตลอด เอาแบบว่าออกจากบ้าน แล้วถึงที่ด้วยรถตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะใช้ขนส่งมวลชน เพราะไม่รู้มันจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ ชีวิตใครใครก็รัก

แล้วนี่นอกจากตัวเราจะเปลี่ยนแล้ว สิ่งรอบข้างยังเปลี่ยนด้วยนะ เดี๋ยวนี้เข้าห้างเค้าตรวจละเอียดยิบ ทั้งเอากระจกส่องใต้ท้องรถ เปิดกระโปรงหลังดูของท้ายรถ ยิ่งเซ็นทรัลเวิร์ดนี่ยิ่งตรวจหนัก พารากอนยังไม่ตรวจกระโปรงหลังนะ เซ็นทรัลเวิร์ดนี่เปิดเลย วันนั้นก็เสียวๆเพราะได้ของขวัญกล่องใหญ่มา แต่ก็ผ่านเข้าไปได้ นี่ก็คิดอยู่ ถ้าใครอุตริใส่เข้าไปจริงๆแล้วเค้าจะตรวจเจอเหรอเนี่ย เวลาเดินเข้าไปในห้างก็ต้องตรวจกระเป๋า ซึ่งก็ดีค่ะ ดีสำหรับทุกๆคน บางห้างนี่แทบไม่มีถังขยะแล้วนะ เก็บหมด กลัวกันไง เมื่อวันเสาร์ไปเดินถนนบ้านหม้อ ตรงนั้นคนเยอะมาก ปกติแทบจะไม่มีทางเดิน วันนั้นไปถึงเห็นตำรวจยืนทุกระยะ ไอ้เราจากที่เดินปกติ แค่เห็นก็รู้สึกได้เลยอ่ะว่าเหตุการณ์มันไม่ปลอดภัย ไม่งั้นตำรวจก็คงไม่มากันเยอะขนาดนี้ ถึงอย่างงั้น ซีดีเถื่อนก็ยังขายกันเหมือนเดิม คึกคักเหลือเกิน ตำรวจยืนเต็ม

ไอ้คนที่ต้องใช้ชีวิตอย่างเราๆมันก็จิตวิตกนะ นี่ตั้งแต่ผ่านเหตุการณ์มาก็ได้รับเมล์เตือนหลายรอบมาก ตรงนั้นมั่งตรงนี้มั่ง ทุกอันมาจากวงในหมด ก็ไม่รู้ว่าวงในไหนล่ะ จนไม่รู้จะใช้ชีวิตยังไงแล้วเนี่ย เตือนตลอดเวลา อันล่าสุดก็ว่าอย่าออกไปไหนวันเด็ก มีสถานที่ให้เรียบร้อยอีก ประมาณ 10 กว่าจุด กว้างเหลือเกิน ระวังตัวไม่ถูกเลย แล้วยิ่งโหรออกมาพูดมาบอกอีกว่า 2เดือนข้างหน้าให้ระวังตัวไว้ให้ดี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ชนิดลูกหลานต้องจดจำ ดูสิ มาทำนายเอาตอนใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพเนี่ย จะให้รู้สึกยังไงดีล่ะ แล้วดิฉันจะต้องจดจำถึงขนาดไหนล่ะคุณ นี่ถ้าอยู่อุดรจะไม่คิดมากเลย ก็จะนั่งรอดูว่าจะทายถูกไม่ถูก อย่างน้อยก็รู้สึกปลอดภัยกว่านี้

ตอนนี้เศรษฐกิจบ้านเราคงจวนเจียนใกล้จะพังน่าดู คิดแล้วผลกระทบมันค่อนข้างจะใหญ่พอสมควรถ้าเรามองโดยภาพรวม เรื่องนี้คนทั้งโลกรับรู้ เพื่อนร่วมงานที่อยู่ประเทศอื่นถามมาใหญ่เลย ว่าเป็นไง ได้ยินข่าว คนที่มหาลัยที่อังกฤษก็ถามว่าเป็นยังไง เค้าเข้าใจดี เพราะตอนลอนดอนโดนระเบิดก็ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าคนจะปรับจิตใจให้ปกติได้ เห็นป่ะ เค้ารู้กันทั้งโลก แล้วใครจะกล้าเข้ามาในไทยล่ะคราวนี้ พังกันไปหมด

ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตอยู่ในความไม่ประมาทหล่ะคะ เดินทางไปไหนมาไหนก็ระแวดระวัง อย่าไปที่สุ่มเสี่ยงมากนัก ไอ้เรื่องจิตใจนี่ไม่ต้องพูดถึง เกิดความเปราะบางอย่างรุนแรง ก็อยากจะฝากเตือนทุกคนว่าขอให้ดำเนินชีวิตด้วยความมีสติ และก็ขอให้พระคุ้มครองทุกคนให้ผ่านช่วงเวลาวุ่นวายนี้ไปได้นะคะ โชคดีค่ะ ฉบับหน้าเจอกันใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น