วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2549

วันวานยังหวานอยู่ (1)

วันวานยังหวานอยู่ (1) 9/9/2551

กลับมาเจอกันอีกแล้ว วันเวลานี่มันผ่านไปเร็วนะคะ วันนี้เดี๋ยวก็จะกลายเป็นเมื่อวาน เมื่อวานก็จะกลายเป็นอดีต เดี๋ยวนี้อะไรๆหลายๆอย่างรอบตัวเรามันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เทคโนโลยีเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตเรามากขึ้น ไม่นึกว่าความทันสมัยจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงเราได้ไวขนาดนี้นะคะ ดูสิ แต่ก่อนไม่มีคอมพิวเตอร์หรือมือถือใช้กัน เดี๋ยวนี้ใครไม่มีถือว่าเชย คาดว่าอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า คนจะเป็นง่อยกันทั่วเมือง เพราะสิ่งประดิษฐ์หลายๆอย่างมันทำให้เราสะดวกสบายจริงๆ สมกับยุคดิจิตอล


พูดแล้วก็ทำให้ย้อนนึกถึงเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ตอนสมัยยังเป็นเด็ก สมัยที่ยังไม่มีของเล่นไฮเทคพวกนี้ เราก็ใช้เวลาช่วงวัยเด็กแบบกะโหลกกะลาไปวันๆ เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว นอกจากจะไปโรงเรียน ไปเรียนพิเศษ เล่นกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เล่นกับตัวเอง แล้วก็ไม่มีอะไรให้คิดมากอีกแล้ว ดูแล้วก็ง่ายดี
จนกระทั่งถึงวันนี้ บางอย่างที่เคยสัมผัสในอดีตก็ยังมีให้เห็นอยู่ แต่บางอย่างก็เลือนหายไปกับกาลเวลา เมื่อย้อนนึกถึงแล้วก็เสียดาย อย่างเรื่องของกิน สมัยโน้นมีหลายอย่างที่ประทับใจเจ๊มาก นึกแล้วก็น้ำลายสอ ไอ้เราก็รู้สึกว่าของพวกนี้มันอร่อยเลิศล้ำตอนนั้นน่ะนะ จริงๆถ้าให้มากินตอนนี้อาจจะรู้สึกว่าไม่อร่อยก็ได้ แต่ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่ามันไร้เทียมทานแล้วแหละ อย่างใครเคยอยู่โรงเรียนอนุบาล หรือ อุดรพิทย์ หรือราชินู เคยกินก๋วยเตี๋ยวหลอดมั้ยคะ ที่เค้าเอาใส่ท้ายจักรยานแล้วขายอ่ะ เป็นถุงๆ พอสั่งก็เอากรรไกรทิ่มลงไปในถุง แล้วก็ตัดๆๆอย่างไร้ระเบียบ กรรไกรแบบกรรไกรตัดผ้าหน่ะ แล้วก็เอาซอสใส่ อือหือ ตอนนั้นมันอร่อยจริงๆ ซึ่งถ้ามาถึงตอนนี้ก็อาจเกิดคำถามว่า เอ๊ะ มันสะอาดไหม แล้วกรรไกรที่ตัดมันขึ้นสนิมรึเปล่าหน่ะ ตอนนั้นรู้แต่ว่ามันอร้อยอร่อย ก๋วยเตี๋ยวหลอดอะไรไม่รู้ อร่อยจริงๆ


อีกอันคือไก่ปิ้งหลังโรงเรียน ก็เป็นรถเข็นขายหล่ะคะ ไม้ละ 1 บาท หลังๆเริ่มจะเป็นไม้ละ 2 บาท ตามภาวะเศรษฐกิจ ส่งกลิ่นหอมฉุย หมักกับเครื่องเทศอะไรไม่รู้ รู้แต่โคตรอร่อย วิธีการกินคือเราต้องกัดเอาลวดที่มัดไม้ด้านบนออกก่อน จากนั้นก็กิน เสร็จแล้วถ้ายังเหลือติดไม้อยู่ก็แทะเนื้อติดไม้ออกมา เพราะมันโคตรอร่อย ยิ่งปิ้งไหม้ๆ เกรียมๆ มีดำๆติดบ้างยิ่งอร่อยเหลือหลาย ซื้อทีต้องซื้อ 5 ไม้เป็นอย่างต่ำ จนแม่บอกว่า สงสัยเค้าเอาเนื้อหนูมาทำนะ ขายไปเก็บเอาหนูที่วิ่งๆตามถนนไป เสร็จแล้วเอาไปหมักกับกัญชาแล้วก็เอามาปิ้งขายหลอกเด็ก นับแต่นั้นมาก็เริ่มวิตกจริต เข้าใจว่าแม่พูดจริง เลยค่อยๆเพลาแล้วเลิกกินในที่สุด ถ้าเป็นตอนนี้เหรอ คงรู้สึกว่านี่มันเศษไก่ชัดๆ แล้วก็โอ้โห เขม่าดำติดเต็มเลย มะเร็งแด๊กเลยนะนั่นนะ ตายผ่อนส่ง แต่ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็ก มะรงมะเร็งอะไรไม่รู้จัก รู้แต่จะกินอย่างเดียว


แต่ก่อนสมัยที่อากงยังอยู่ จำได้ว่าตอนสัก 4-5โมงเย็นจะได้กินตือฮวน เป็นอาแปะเข็นมาขายหน้าบ้าน เป็นตือฮวนที่ครบเครื่องมากที่สุดเท่าที่เคยกินมาในชีวิต มีข้าวเหนียวที่ทำเหมือนไส้กรอก แล้วมีถั่วแปะข้างในด้วย ไม่รู้เค้าเรียกอะไรหล่ะ รู้แต่ไม่มีที่ไหนทำอร่อยเท่าเจ้านี้เลย คิดดู ตอนนั้น อย่างมากก็ไม่เกิน ป3. กินตือฮวนได้เป็นชาม เหมือนเป็นอาหารว่าง ถัดมาอีกชั่วโมงสามารถกินอาหารเย็นได้อีกมื้อ แล้วจะไม่ให้มันโตมาเป็นหมูอย่างงี้ได้ไง นอกจากตือฮวนแล้วยังมีเป็ดย่าง อากงชอบซื้อ เป็นรถเข็นมาขายอีกเหมือนกัน ซื้อเป็นตัวเลย ไอ้เราก็จำได้อีกว่ามันเป็นเป็ดย่างที่อร้อยอร่อย ถึงจะได้กินกับเค้าแค่ชิ้นเดียวก็เหอะ วันไหนอากงสั่งเราก็จะตาลุกวาวทันที เดี๋ยวนี้คงไม่มีขายแล้ว แล้วก็จำไม่ได้ด้วยว่าเค้าเลิกขายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นึกแล้วก็เสียดายนะคะ คนสมัยก่อนเค้าทำอาหารด้วยฝีมือ ยิ่งเป็นคนจีนยิ่งมีเคล็ดลับ พิถีพิถัน เดี๋ยวนี้หากินอร่อยอย่างนั้นไม่ได้แล้ว


พูดเรื่องอาหารมีประโยชน์แล้วก็ต้องพูดไอ้ที่ไม่มีประโยชน์ด้วย ใครเคยกินยำยำช้างน้อยบ้างยกมือขึ้น เอ๊ะเดี๋ยวๆ ขอออกตัวก่อนว่าที่ว่าไม่มีประโยชน์คือกินดิบๆ ยิ่งพออัพเกรดเป็นมาม่าหมูสับ หรือมาม่าต้มยำ ยิ่งเหมือนสวรรค์บันดาลส่งความอร่อยมาให้ ความอร่อยอีกอย่างมันอยู่ตรงที่ต้องแอบผู้ใหญ่กิน ไม่งั้นจะถูกด่า อันดับแรกหลังจากได้ห่อมาก็เอามาขยำๆ เสร็จแล้วก็ใส่เครื่องปรุง ตามด้วยน้ำมันหมู แล้วก็เขย่าๆให้เข้ากัน จากนั้นก็ลงมือกิน แอบกินตามซอกในบ้านบ้าง กินนอกบ้านก็ไม่ได้นะ เพราะระแวงว่าผู้ใหญ่ทั้งโลกจะว่าเอา เลยต้องกินในบ้าน กินเสร็จก็ต้องทำลายหลักฐานด้วยการไปยัดในถังขยะ เท่านี้ก็เรียบร้อย แน่นอน โตขึ้นมาถึงได้รู้ว่า ไอ้ที่กินเข้าไปก็เหมือนตัวก่อมะเร็งอีกเช่นกัน แล้วน้ำมันหมูที่จับๆเป็นก้อนอร่อยนักอร่อยหนานั่นนะ กินเข้าไปได้ไง น้ำมันก้อนชัดๆ ถ้าจะกินเราต้องมาทำให้สุกก่อน ใส่ผักใส่เนื้อเพิ่มประโยชน์ให้มันมั่งก็ได้ หรือจะเติมน้ำเยอะๆก็ดี จะได้ละลายผงชูรสเข้มข้นให้เจือจางลง ตอนเด็กๆไม่เคยเข้าใจหรอกเรื่องพวกนี้ รู้แต่อร่อยอย่างเดียว


หรืออย่างลูกชิ้นทอดหน้าโรงเรียนอนุบาล ไม้ละบาทนี่แหม มันอร่อยเหลือเกิน มีทั้งแบบลูกกลม แบบรักบี้ ใครอยากจิ้มแตงกินเท่าไหร่ก็จิ้ม เราก็ไปยืนกินเท่าที่ทุนทรัพย์เรามี แต่ก็กินไม่บ่อยนะคะ อาทิตย์ละไม้บ้างสองไม้บ้าง อายพวกเด็กเซียนกินลูกชิ้น พวกนั้นเค้ายืนเฝ้าแผงกันเลยทีเดียว พอโตขึ้นก็เริ่มกระจ่างเห็นความจริง นั่นมันลูกชิ้นแป้งนี่หว่า ที่กินๆแล้วเข้าใจว่าเนื้อนี่มันแป้งสัก 95 เปอร์เซ็นต์ อีก 5 เปอร์เซ็นต์ เป็นวิญญาณของสิ่งที่เราต้องการกิน ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หมู ไก่ ปลา แล้วก็เริ่มจะเชื่อมโยงสัมพันธภาพระหว่างลูกชิ้นหน้าโรงเรียน กับลูกชิ้นหน้างานทุ่งได้ว่าเป็นสปีชี่เดียวกัน เพียงแต่ลูกชิ้นหน้างานทุ่งสามารถทำให้ใหญ่คับโลกได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตามมันทำให้เราไม่กล้ากินลูกชิ้นแบบนั้น ลูกชิ้นอะไร ใหญ่เท่าส้ม บ้าไปแล้ว


พูดเรื่องกินแล้วก็ต้องพูดเรื่องขนม เคยกินน้ำตาลดัดกันไหม ดัดเป็นลิงนั่งตกปลา อันนี้เป็นโมเดลท๊อปฮิต นอกนั้นก็เป็นตั๊กแตน จระเข้ มังกร แล้วแต่จะสั่ง อยากทราบจริงๆว่าคนดัดไปเรียนที่ไหนมา ดัดได้เหมือนมั่กมั่ก ขนมแบบนี้ได้แต่นั่งดู แต่ไม่เคยกิน เพราะตอนนั้นก็มีจิตสำนึกอยู่ว่านี่มันน้ำตาลนี่หว่า แถมสียังเหมือนสีย้อมผ้า จะกินลงไปได้ยังไง


ขนมอย่างอื่นเท่าที่จำได้ก็มีกาละแมร์ มีแบบขายเป็นรถจักรยานเข็นมาด้วยนะ เอายาวเท่าไหร่ก็ตัดให้ โอ้โห กินกันจนฟันจะหลุด ที่พูดนี่คือแท่งขาวๆ มีถั่วติดอยู่นะคะ กินแล้วก็มันดี กว่าจะหมดแท่งได้ แล้วก็มีน้ำตาลทำเป็นรูปไม้ อันนั้นอร่อยจริงๆ เดี๋ยวนี้เห็นกาละแมร์กับน้ำตาลแท่งขายอยู่ตรงปากทางเข้าสำเพ็ง เป็นแพ็คๆ เลยทีเดียว เด็กสมัยนี้เค้ายังกินพวกนี้อยู่เหรอเนี่ย


ว่าแล้วก็ต้องพูดถึงไอติม ใครเคยกินไอติมโบราณมั่ง เป็นก้อนสี่เหลี่ยม รสกะทิ เผือก อะไรพวกนี้ มันจะมาเป็นแท่งใหญ่ๆยาวๆ แล้วเค้าก็จะตัดแบ่งขายให้เรา ใช้ไม้ลูกชิ้นสองไม้เสียบลงไป ก็จะได้ไอติมมากิน เป็นไอติมที่กินแล้วเลอะเทอะที่สุดในโลก เพราะมันละลายเร็ว ไม่มีที่รองรับ จริงๆแล้วก็ไม่ถึงกับอร่อยมาก แต่ด้วยความเป็นเด็ก เห็นเป็นไอติมก็กิน ปัจจุบันนี้เข้าใจว่าแพ้ทางไอติมวอลล์ เลยต้องออกจากยุทธจักรไป แต่ที่เซ็นทรัลลาดพร้าวเห็นเอามารีเมกใหม่ ทำบู๊ทสะโก้หรูว่าไอติมโบราณ ใครอยากระลึกความหลังก็ลองไปกินได้ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ชั้นใต้ดินค่ะ


ขี้เกียจพูดเรื่องกินแล้ว เปลี่ยนเรื่องมาพูดถึงของเล่นมั่งดีกว่า สมัยเด็กๆถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็ต้องเล่นตุ๊กตากระดาษ อันสวยๆ หาซื้อกันง่ายๆที่ไหนล่ะ ต้องไปซื้อกันถึงในตลาด แล้วคุณผู้อ่านเข้าใจมั้ย การออกจากรัศมีบ้านเกิน 500 เมตร ด้วยตัวเองเราถือเป็นเรื่องแอดเวนเจอร์ น่าตื่นเต้นผจญภัยแล้ว ดีแต่ว่าที่บ้านค้าขาย พ่อแม่ไม่มีเวลามาวิ่งไล่จับ เราเลยได้แอดเวนเจอร์บ่อยๆ ค่อยๆเดินเลียบถนนไป พอถึงเวลาข้ามถนนต้องตัดสินใจอยู่นาน แล้วก็วิ่งปรู๊ด ไปซื้อตุ๊กตากระดาษ ยิ่งถ้าได้แบบสวยๆถูกใจจะยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นเด็กผู้หญิงที่มีของวิเศษกว่าใครเพื่อน ทะนุถนอมตุ๊กตากระดาษอย่างดี เปลี่ยนชุดให้โน่นนี่นั่น โตมาก็ยังงงๆอยู่เลย มันสนุกตรงไหนวะ มิติก็ไม่มี แบนก็แบน ยิ่งกว่าไม้กระดาน แล้วเปลี่ยนชุดให้ได้เรื่อยๆด้วยนะ มีความสุขเหลือเกิน


จนเริ่มมีบาร์บี้ โลกของตุ๊กตากระดาษก็เริ่มเปลี่ยนไป มาร็เก็ตแชร์ต่ำลงเรื่อยๆ จริงๆเราก็ไม่อยากปันใจหรอกนะคะ แต่เห็นบาร์บี้มีหน้าอก มีผม มีก้น มีเอววคอด ใส่ชุดอะไรก็สวย หวีผมก็ได้ เกล้าผมก็ดูดี เท่านั้นหล่ะ อีแบนทั้งหลายตายไปเลย ตายแทบเท้าบาร์บี้ แม่ซื้อให้หนึ่งตัว แต่ไม่มีชุดเปลี่ยน ตามประสาคนใช้จ่ายประหยัดอย่างแม่ที่เห็นว่าถ้าจะซื้อชุดเปลี่ยนมันแพง แม่เลยไปเรียกอี้หมูมาตัดให้ จนได้ชุดสีชมพูฟูฟ่องมา ถูกอกถูกใจเหลือเกิน บาร์บี้เลยมีชุดเปลี่ยนสองชุด โชคดีที่ไม่ค่อยใช่คนฮิตเท่าไหร่ เลยไม่ได้เสียตังค์อะไรมากมายไปกับตุ๊กตาแบบนี้ ไม่รู้ตอนนี้เธอไปตกระกำลำบากที่ไหนแล้วด้วย หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
นอกจากตุ๊กตากระดาษ ของเล่นอีกชิ้นที่ชอบมากคือลูกโป่งวิทยาศาสตร์ ความรู้สึกคือมันหาซื้อยากมาก และมันมีความมหัศจรรย์ในตัวสูง หลอดมันก็ดูจุ๋มจิ๋มน่ารัก บีบออกมากลิ่นก็ห้อมหอม (ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงหอม) แล้วยังต้องใช้ความสามารถสูงในการเป่าให้มันไม่แตก หรือถ้ามีรอยรั่วก็ยังอุดรอยรั่วเป่าต่อได้ วันไหนมันเขี้ยวหน่อยเป่าโยนขึ้นตบสะแบน ให้มันติดมือเป็นแผ่นๆ ซาดิสถ์มาจากไหนไม่รู้ ลูกโป่งนี่ก็เป็นของเล่นอีกชิ้นที่ต้องผจญภัยไปซื้อกันในตลาด

นอกจากของเล่นพวกนี้บางทีก็เล่นกับพวกพี่ชาย ซึ่งมักไม่ค่อยเสียตังค์เท่าไหร่ ด้วยความที่เป็นน้องเล็กไม่รู้จะเล่นกับใคร นอกจากพี่ชายทั้งหลาย เค้าก็ดีนะ ยอมให้เล่นด้วย อย่างเล่นลูกตบ ก่อนอื่น ต้องทำลูกตบด้วยการเอาหนังสือพิมพ์มาขยำๆให้มันเป็นก้อน จากนั้นก็เอาถุงก๊อปแก๊บมาห่อให้มันเป็นลูกแข็งๆ ห่อทบไปทบมาแล้วก็ใช้ยางรัดจนมันเป็นลูก จากนั้นก็แบ่งฝ่ายกันเล่น เอาจริงเอาจังกันมากเหมือนชิงถ้วยระดับโลก บางทีก็เล่นจระเข้ไล่จับ ซ่อนหา เล่นไปเล่นมาไอ้เราก็งี่เง่าไม่อยากเป็นตัวนั้นก็นอนแผ่มันตรงฟุตบาทหน้าบ้านลย จนพี่ชายรำคาญทำเป็นแพ้ เราก็กลายเป็นอีกฝ่าย หน้าระรื่นทีเดียว ไม่สำนึกอะไรเลยนะ ถ้าเป็นผู้ใหญ่เค้าเรียกว่าหน้าด้านเลยล่ะ บางทีก็เล่นผีถ้วยแก้ว น้ำเต้าปูปลา เล่นกินเงินกัน เป็นหนี้เค้า 5 บาท ถือเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตทีเดียว โดนทวงเช้าทวงเย็นจนลูกหนี้หน้ามืด ไม่รู้จะไปหา 5 บาทมาจ่ายจากไหน นอกจากนี้ก็มีเป่าหนังยาง ดีดเม็ดมะขาม หยอดขนมครก รีรีข้าวสาร จระเข้กินหาง เล่นมาหมดแล้ว จะขาดอย่างเดียวก็แต่ม้าก้านกล้วย ไทยไปหน่อย

โตขึ้นมาหน่อยพี่ชายฮิตตัดสติ๊กเกอร์ ก็เอากับเค้ามั่ง พวกผู้ชายเค้าตัดรูปกันดัม เซนต์เซย่า เราก็ไปหามิกกี้เมาส์ โดนัลดักค์มาตัด วิธีการคือต้องเอาลายซึ่งหาได้จากสมุดระบายสีไปแปะบนสติ๊กเกอร์ แล้วก็ใช้คัตเตอร์กรีดตามลาย จนได้เป็นเส้น จากนั้นถ้าอยากได้แบบมีพื้นก็เอาลายที่เราตัดแล้วไปติดใส่สติ๊กเกอร์อีกสี โอ้ยยย สวยจะตาย


มีบางช่วงเค้าฮิตโดดหนังยางกัน เห็นเพื่อนที่โรงเรียนโดดกันแบบทีมชาติอย่างนั้นก็ฮึกเฮิม แต่ไม่สามารถไปขอเค้าเล่นได้ กลัวเสียหน้า เลยต้องกลับมาเล่นคนเดียวที่บ้าน เอายางมาทำเป็นเส้นแล้วก็ไปผูกกับกลอนประตู ค่อยๆไล่ระดับขึ้นไป ทำเหมือนมีคนเล่นด้วย จากขา เริ่มมาเข่า เอว อก ไหล่ ติ่งหู (ไม่ทราบใครคิดระดับนี้ วานบอก) หัว พอเข้าขั้นแอดวานซ์ก็ต้องทำแบบโดดกลับไปกลับมาสลับฟากต่อๆกันได้โดยยางไม่หลุดจากตัวและไม่พันตัว อย่างกับหมาไล่กัดหางตัวเอง เซียนมาก ให้ย้อนกลับไปคิดไม่ทราบเล่นไปได้ยังไงเด็กสมัยนั้น วนไปวนมา แต่ก็สนุกของเราล่ะ ใครโดดได้สูงนี่โคตรเซียน เพื่อนๆต้องซูฮก เราจริงจังกันถึงขั้นใส่กางเกงซ้อนในกระโปรงนักเรียนไปโรงเรียน พอถึงเวลาเล่นก็อู้ยย ถลกกระโดดกันมันไปเลย

แต่ถ้าเป็นเด็กผู้ชายเหรอ เรารู้นะว่าคุณไปอยู่ไหน ร้อยทั้งร้อยอยู่อมรเกมส์ ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็เหมือนร้านอินเตอร์เนต ผู้ใหญ่ไม่เข้า กลุ่มเป้าหมายคือเด็กหัวเกรียน หาตังค์เองยังไม่ได้ นั่งหน้าสลอนกันเป็นชั่วโมง ย้อนกลับไปในอดีตก็ต้องอมรเกมส์ อยู่กันได้เป็นวันๆ ที่รู้คือขี่จักรยานตามพี่ชายไป ไม่ได้เข้าไปหรอก กลัวเด็กผู้ชาย ก็จะไปขี่จักรยานวนๆเวียนๆอยู่หน้าร้านอย่างนั้นแหละ เห็นเค้าอยู่กันได้เป็นชั่วโมง เราก็วนอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมงเหมือนกัน เคยไปนั่งเฝ้าเค้าที่ร้านขายข้าวแล้วมีเกมส์ให้เช่าเล่นแถวบ้าน พี่ชายสองคนเล่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย มีสิบกว่าด่าน จนด่านสุดท้าย เจอไอ้ตัวหัวหน้า ใกล้จะฆ่ามันได้แล้ว เราก็นั่งๆอยู่นึกไรไม่รู้กดรีโมทกึ๊กเดียว ภาพหาย จอหด หมดกัน งานนั้นโดนด่าสะไม่เหลือแผ่นดินจะอยู่ ผ่านไปอีก 3 วัน ก็ยังโดนด่าอยู่อย่างนั้น ข้อหาไปกดอะไรมั่วซั่วทำให้เค้าเล่นเกมส์กันไม่จบทั้งที่จะจบอยู่แล้ว เซ็งเป็ด เราก็จ๋อยสิ โตขึ้นมาถึงได้รู้ว่า ไอ้การกดรีโมทแค่นั้นมันไม่ทำให้เกมส์หยุดได้หรอก มันแค่เปลี่ยนโหมดไปเป็นทีวี กดปุ่มกลับไปก็เล่นเกมส์ต่อได้แล้ว แต่ตอนนั้นเป็นเด็ก ไม่รู้ ก็ทนให้เค้าด่าไปตามระเบียบ แต่ก็ยังเดินตามเค้าไปไหนมาไหนอยู่ต้อยๆ

นึกแล้วก็คิดถึงอดีต ยังมีอีกหลายเรื่องหลายอย่างให้หวนระลึกถึง บางเรื่องตอนนั้นมันกลายเป็นเรื่องหญ้ายยยใหญ่สำหรับเรานะ เรียกได้ว่าคอขาดบาดตาย พอโตขึ้นได้มองย้อนกลับไปก็เอ่อนะ เรื่องแค่นั้น ทำไมตอนนั้นต้องจะเป็นจะตายด้วย อย่างแค่โดนพี่ชายแกล้งก็คิดถึงขั้นฆ่าตัวตาย หนีออกจากบ้าน อยากรู้ว่าแม่จะเสียใจไหมถ้าไม่มีเรา ทำไปได้เนาะ แต่บางเรื่องก็ทำให้เราหัวเราะได้ ของบางอย่างยังไม่เลือนหายไป พอได้เห็นแล้วก็คิดถึง แต่ก่อนในอุดรมีห้างใหญ่ห้างเดียวคือเจริญศรีพลาซ่า อาทิตย์นึงจะไปสักทีนึง ดังนั้นช่วงเวลาหลักๆของเราเลยอยู่กับร้านโชว์ห่วยแถวบ้านมากกว่า มีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปซื้อขนม ซื้อทอฟฟี่สามเม็ดบาท ซื้อของเล่นบนแผง ซื้อตุ๊กตากระดาษในตลาด อะไรแบบนี้ เดี๋ยวนี้วิถีชีวิตเปลี่ยนไป แต่ทุกวันก็กำลังจะกลายเป็นความทรงจำสำหรับอนาคต ไม่รู้ว่าลูกสาวจะโตขึ้นมาแบบไหนเหมือนกันนะคะ ไว้ฉบับหน้า เรามาต่อเรื่องวันวานยังหวานอยู่อีกสักตอนแล้วกัน ให้เขียนอีกสี่หน้าก็ยังเขียนไม่จบหรอกค่ะ แล้วเจอกัน



วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2549

ความในใจ...คุณแม่มือใหม่

ความในใจ...คุณแม่มือใหม่ 16/7/2551

กลับมาเจอกันอีกแล้วนะคะ หลังจากข้ามไม่ได้ส่งเรื่องไปหนึ่งฉบับ เพราะช่วงนั้นชีวิตกำลังวุ่นวายมากๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เวลาจะให้ตัวเองแทบจะไม่มี เป็นสาเหตุให้นำมาสู่เรื่องในฉบับนี้ จริงๆเคยเกริ่นเอาไว้ว่า จะไม่พูดเรื่องท้องไส้แล้ว เพราะคิดว่าฉบับถัดมายังไม่ถึงกำหนดคลอด ความรู้ยังไม่แน่นพอ เลยว่าจะเขียนเรื่องอื่น แต่ฉบับนี้อั้นเรื่องนั้นไม่ได้แล้ว เพราะพึ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ กลายเป็นประสบการณ์พร้อมเสิร์ฟมาเล่าให้ทุกคนฟัง บางจุดก็อยากจะแนะนำคนท้องด้วยว่า ช่วงใกล้ๆคลอด ให้ดูแลตัวเองให้ดีมากๆนะคะ

เขียนมาถึงตรงนี้ก็เดาถูกกันแล้วไช่ไหม ใช่แล้วล่ะคะ คลอดแล้ว คลอดก่อนกำหนดไป 1 เดือน แบบที่ไม่ทันตั้งตัว สาเหตุคือน้ำคร่ำรั่วก่อนกำหนด จริงๆแล้วมันมีลางบอกเหตุมาได้สักพัก เริ่มจากมีเจ็บเตือนตั้งแต่เดือนเมษา ความดันก็สูงตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งที่กำหนดคลอดกลางเดือนมิถุนา ไปตรวจอีกสองครั้งความดันก็สูงขึ้นตลอด จนอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภา ประมาณ 4 ทุ่ม เข้าห้องน้ำอยู่ดีๆก็มีน้ำไหล แบบไม่ได้เบ่งล่ะคะ ไหลเป็นสายเลยทีเดียว ตกใจสิคะ รีบร้อนออกจากบ้านไปโรงพยาบาลทันที ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ตอนนั้นคงชะลอความตกใจ แล้วล้างหน้าล้างตา ล้างเครื่องสำอาง อาบน้ำสักหน่อย เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แล้วค่อยไปโรงพยาบาล ใครจะรู้เลยว่า หลังจากไปถึงโรงพยาบาลแล้ว ดิฉันจะไม่ได้ลงจากเตียงอีกเลยเป็นเวลาสองวัน

เกิดมาไม่เคยคิดเลยว่าจะคลอดลูกออกมาก่อนกำหนด เพราะหลานๆทุกคนก็สุขภาพแข็งแรง ออกมาครบเทอมกันทุกคน เลยชะล่าใจว่าตัวเองแข็งแรงดี ถึงหมอจะบอกสาเหตุว่า หนึ่ง เป็นโรคที่เกิดกับกลุ่มคนเศรษฐฐานะต่ำ ต้องใช้แรงงานเป็นหลัก และสอง อาจจะเกิดการติดเชื้อ แล้วมีวีคพอยท์พอดี เลยรั่ว แต่ส่วนใหญ่แล้วคือ ไม่รู้สาเหตุแน่นอน ถึงหมอจะบอกอย่างนี้ก็เถอะ แต่คนเป็นแม่อย่างเราถือเป็นเรื่องที่โทษตัวเองไม่มีวันจบวันสิ้น เพราะก่อนหน้านั้น คิดแต่ว่าตัวเองแข็งแรงตลอด ทำโน่นทำนี่ไม่หยุด เดินก็เยอะ ไปนั่งตากแดดในตลาดสดเรียนโน่นเรียนนี่เป็นสองสามชั่วโมงก็ทำ พักผ่อนก็น้อย เวลานอนคือเที่ยงคืน พอนึกย้อนกลับไปแล้วก็ได้แต่โทษตัวเอง อยากจะบอกสาวๆท้องแก่ใกล้คลอดว่า พักผ่อนให้เยอะนะคะ งานการไม่ต้องไปซีเรียสหรือทำอะไรมาก อย่าคิดว่าตัวเองแข็งแรงตลอดเวลา เพราะพอถึงจุดที่ร่างกายมันรับไม่ไหวก็จะส่งผลให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น แล้วจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขไม่ได้

เอาเป็นว่าท้องแก่ๆก็ดูแลตัวเองแล้วกันนะคะ เล่าต่อ วันนั้นไปโรงพยาบาลดึกๆ ต้องเข้าไปนอนที่ห้องคลอดเลย หมอสั่งยาฆ่าเชื้อให้ทุกๆ 6 ชั่วโมง แล้วบอกว่ารอดูอาการก่อน วันถัดมาหมอก็มาตรวจ แต่ก็ให้รอดูอาการอีกที หมอบอกว่าบางทีถ้าตรงที่รั่วมันสามารถรักษาตัวเองได้ก็อาจจะรอไว้ก่อน เวลาที่ทารกอยู่ในครรภ์แม่ถึงจะได้วันสองวันก็มีค่ามาก พยาบาลบอกว่ามีบางเคส ถ้าหยุดรั่วก็ให้ขึ้นไปนอนรอที่ห้องผู้ป่วยด้านบน บางคนนอนสองอาทิตย์ ก็ยังมี เลยถามพยาบาลต่อว่าอย่างงี้แสดงว่าไม่มีสิทธิ์กลับบ้านเลยใช่ไหม พยาบาลบอกว่า นอกจากไม่มีสิทธิ์แล้ว ยังห้ามไม่ให้ลงจากเตียงขยับตัวมากมายอีกด้วย เอ้า....เลยเป็นอันว่าจนถึงเวลาคลอด ไม่ต้องได้ไปไหนกันล่ะ

เช้าวันถัดมาเป็นวันอาทิตย์ ผลตรวจเลือดบอกว่าอาจมีโอกาสติดเชื้อ หมอสั่งพยาบาลให้ฉีดยาเร่งคลอดได้ เราก็หูแหกตาแหกเลยสิ แม่บอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า ถ้าต้องคลอดวันเสาร์ (เมื่อวาน) เด็กเกิดวันนี้ สวรรค์ในอกนรกในใจ แปลว่าอะไรเนี่ย เคยได้ยินมาว่า ถ้าน้ำคร่ำรั่วต้องคลอดใน 24 ชั่วโมง ถ้าคลอดใน24ชั่วโมงนั้นล่ะก็ สวรรค์ในอก นรกในใจแน่ แต่ถ้าคลอดวันอาทิตย์ จุดเด่นคือสติปัญญาล้ำเลิศ ส่วนวันจันทร์ ชีวิตรุ่งโรจน์รุ่งเรือง แก่มาสบาย แม่บอกคลอดวันจันทร์นี่แหละดี แน้... มีเลือกวันได้ด้วยตัวเอง
พอหมอบอกคลอดวันอาทิตย์ เราก็บ้าจี้นะ บอกพยาบาลให้ไปบอกหมอว่าคลอดวันจันทร์ได้ไหม พยาบาลจะฉีดยาเร่งคลอดก็โอ้ย อย่าๆๆ อย่าพึ่ง ขอต่อรองกับหมอก่อน ระหว่างรอหมอมา เหมือนได้คิด อีนี่บ้านะ ลูกจะออกมาอยู่แล้วยังไปอั้นไม่ให้เธอออกอีก เกิดติดเชื้อขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ พอหมอมา หมอถามว่าจะคลอดวันจันทร์เหรอ อุ้ย... หมอก็เอาด้วยนะ เลยบอกว่า ไม่เป็นไรหมอ วันนี้ก็วันนี้ค่ะ สติปัญญาล้ำเลิศ แหม... ยังอุตส่าห์มีอารมณ์ขัน หมอเลยสั่งฉีดยาเร่งคลอด พอได้รับยาก็รู้สึกปวดขึ้นปวดขึ้น ตอนแรกก็ยังคุยเล่นกับแฟนเฮฮาไป สักหน่อยท้องมันบีบนะ พระเจ้าจอร์จมันเริ่มเจ็บ

แล้วหมอก็เข้ามาตรวจภายใน ตอนนั้นยังไม่ได้ยาบล๊อกหลัง เคยคุยกับหมอมาตลอดว่าจะคลอดเอง หมอก็ยืนยันเจตนารมณ์หมอเช่นกันว่าคลอดเอง เพราะหมอไม่อยากผ่าให้ หมอขี้เกียจเลาะพังผืดจากแผลผ่าตัดสองรอบของดิฉัน หมอบอกว่าคราวที่แล้วที่ผ่าซีสต์ ทเอาหมอจะเป็นลม พังผืดเยอะเหลือเกิน พร้อมกันนี้หมอยังกำชับว่า อย่ากินเยอะ เดี๋ยวลูกตัวใหญ่ ต้องผ่า ให้กินพอประมาณ ลูกสักสองพันปลายๆจะได้ออกง่ายๆ ตอนรอคลอดมามาคลำๆท้องแล้วบอก น่าจะ 2200 แล้วนะ แล้วหมอก็ตรวจภายในเพื่อดูปากมดลูก เราก็นึกว่าตรวจเหมือนปกติ หมอบอกเจ็บหน่อยนะ แล้วหมอก็วัดปากมดลูก พร้อมกับขยาย ให้มันเปิดเพิ่มอีกสักเซ็น โอ้.... โคตรเจ็บ เจ็บที่สุด เจ็บโคตรๆ ครั้งต่อๆมาพอได้ยินเสียงหมอเปิดประตูเข้าห้องมา แทบผวา เริ่มไม่ชอบหมอ หมอทำเจ็บ

จากนั้นก็ปวดท้องขึ้นเรื่อยๆแต่พอทนไหว พอถึงจังหวะนึง เอ้าปวดบีบๆๆๆ รู้เลยว่าโอ้โห ปวดท้องคลอดมันเจ็บอย่างนี้นี่เอง เลยเรียกพยาบาลว่า ขอบล็อกหลังเถอะ ไม่ไหวแล้ว ใจเสาะมาก ชาวบ้านเค้าปวดแบบนี้อีกหลายชั่วโมง อีนี่ปวดทีเดียวร้องแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะหมอบล็อกหลังก็เข้ามาทันที อยากได้จัดให้ จากนั้นความเจ็บก็หายไป จนมดลูกเปิดได้ 10 เซ็นต์ พร้อมแล้วที่จะคลอด รวมเวลาตั้งแต่ฉีดยาเร่งคลอดได้ 6 ชั่วโมงพอดี แต่กว่าจะถึงเวลานี้ต้องผ่านช่วงเวลาวัดใจอยู่หลายรอบ เพราะหมอบอกว่าปากมดลูกหนา มันไม่บางลงเลย คุณหมอบล็อกหลังกับพยาบาลเชียร์หมอเย้วๆให้เข็นไปผ่าเถอะ หมอเลยหันมาถามว่าสู้ไหม เลยบอกว่าแล้วแต่หมอนะ จนมดลูกเปิดได้ขนาดแหละ เลยได้คลอดธรรมชาติ พยาบาล หมอเด็กเข้ามาพร้อม แต่แม่ไม่รู้สึกเจ็บท้องเลยเพราะหมอบล็อกหลังไว้ หลายคนสงสัยว่าอ้าว แล้วจะรู้จังหวะเบ่งได้ไง จะบอกว่า ไม่รู้หรอก พยาบาลบอกก็เบ่ง เบ่งอยู่ 4 อึดใจตามเค้าบอก ลูกก็ออกมาให้ได้เห็นหน้า แล้ววว หมอเด็กบอก 2560 โอ้โห มากกว่าที่คาดไว้นะ แม่ขึ้น 13 กิโลค่ะ ถ้าครบกำหนดคงสามพันกว่าจะสี่พันแหงๆเลย คลอดครั้งนี้ทำให้รู้ว่า วิทยาการแพทย์สมัยใหม่ทำให้การผ่าคลอดธรรมชาติเป็นเรื่องที่ไม่เจ็บตัวอะไรเลย เป็นเรื่องที่ดีมาก

แต่น้องต้องอยู่โรงพยาบาลต่ออีกเจ็ดวันเพื่อให้ยาฆ่าเชื้อ 3 วันแรกหลังคลอดก็เทียวลงไปดูลูกที่ไอซียู เห็นนอนตัวเล็กๆน่ารักๆ พยาบาลเอานมให้กิน ก็ดูดๆๆจากขวด เก่งกว่าเพื่อนอีก เพราะคนอื่นต้องให้ทางสายยาง แต่นี่ไม่ต้องตั้งแต่วันที่สองเลย เห็นลูกแล้วก็นึกแต่โทษตัวเอง ถ้ารู้จักพักผ่อนเยอะๆ ไม่ทำอะไรมากจนเกินไป ตอนนี้ลูกคงยังอยู่ในท้อง ยังไม่ต้องออกมาตัวเล็กอย่างนี้ แต่ถ้าเทียบกับเพื่อนๆตู้อื่น ของตู้อื่นนี่พันเจ็ด พันแปดเองนะคะ น้องบัวออกมาตั้งสองพันห้า เยอะกว่าเด็กครบเทอมบางคนอีก

พอถึงวันแม่กลับบ้านแต่น้องยังไม่กลับ เป็นวันที่โคตรวิกฤตสำหรับจิตใจคนเป็นแม่ ตลอดเวลาตั้งแต่มีหลานสี่คน วันที่หลานกลับบ้านก็คือหลานออกจากโรงพยาบาลพร้อมแม่ แต่พอถึงลูกตัวเอง วันที่เรากลับลูกยังต้องนอนอยู่ที่เตียงในโรงพยาบาลอยู่ นึกแล้วน้ำตาไหลพรากๆ ทำไมไม่ได้ลูกกลับมาด้วย ที่ร้ายกว่าคือตัวเองเริ่มเป็นไข้หวัดหนักขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นผลมาจากที่น้ำคร่ำรั่วแล้วเกิดติดเชื้อ ทั้งไอทั้งน้ำมูกไหล ไอทีแผลสะเทือนที ทุกวันไปดูลูกก็ต้องใส่มาส์ก พอตอนเย็นก็ต้องบ้ายบายลูกกลับบ้าน นึกแล้วก็สงสาร ต้องทิ้งไว้ให้อยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้กอดกันเลย สักหน่อยลูกก็ตัวเหลืองอีก ต้องอาบแดดไม่ใส่เสื้อผ้า ใส่แต่หน้ากากไรเดอร์ แม่ก็ป่วยไม่เลิก จนตัดสินใจไปหาหมอ หมอสั่งยาฉีดให้สามเข็ม สามวันเลยพอทุเลาลง แต่ก็ต้องใส่มาส์กต่อไป

จนครบวันที่สิบ ได้พาลูกกลับบ้าน แฮปปี้มาก ลูกตัวเล็กๆ ไม่ต้องอยู่โรงพยาบาลคนเดียวต่อไปแล้ว หารู้ไม่ว่า ความเหนื่อยยากกำลังมาเยือน เข้าใจและรู้ซึ้งถึงหัวอกแม่ทันที ตอนท้องใหม่ๆ กะว่าพอท้องแก่ใกล้คลอดแล้วจะกลับบ้านไปคลอดที่อุดร เพราะรู้สึกว่าชีวิตจะสบายกว่าอยู่กรุงเทพตรงที่มีคนคอยดูแล แต่เอาไปเอามาอวดเก่ง บอกจะคลอดที่กรุงเทพนี่แหละ แล้วเลี้ยงกันสองคนด้วยนะพ่อแม่ ไม่ต้องมีคนมาช่วยเลี้ยง ยืนกรานหนักแน่นมาตลอด พอเอาเข้าจริงๆเป็นไงล่ะ ตั้งแต่กลับบ้านมาวันแรกก็รู้แล้วว่า ดิฉันคิดผิด
ตอนอยู่โรงพยาบาลน้องก็ดูเรียบร้อยน่ารัก ถึงวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน ก็นึกว่าจะเลี้ยงง่ายๆ กลับมาบ้านวันแรก ชีแหกปากร้องทั้งบ่าย เอายังไงก็ไม่อยู่ จนอึออกมาปู๊ดใหญ่ๆถึงจะสงบลง อีตอนร้องล่ะ คุณแม่มือใหม่ลนไปหมด ลูกก็หน้าแดง แม่ก็หน้าแดง เครียด เอาไปเอามาลูกร้องไห้ แม่ก็ร้องไห้ตามเลยล่ะทีนี้ ยิ่งผสมกับอารมณ์แม่หลังคลอดยิ่งไปกันใหญ่ น้ำตาไหลเป็นสายพรากๆ ใครมาพูดด้วยไม่เกินสองคำน้ำตาไหล โทรกลับบ้านหาแม่ น้ำตาไหล คุยกับพี่ชายสองคนเสียงดิฉันก็สั่นเครือ บอกพี่ชายว่า ไม่ไหวแล้ว จะเอาลูกกลับอุดร พ่อถึงกับเตรียมตัวเอารถมารับกันเลยทีเดียว วันที่สี่พาลูกไปหาหมอเรื่องอึ นั่งรอหมอหน้าห้อง น้ำตาไหลเอาไหลเอา คือไม่รู้ว่าโศกเศร้าอะไรนักหนาด้วยนะ ใครพูดอะไรนิดหน่อยสะกิดใจเลยทีเดียว จนคุณแม่ที่พาลูกไปหาหมอด้วยกันต้องเข้ามาปลอบว่าอย่าเครียด คุณแม่อย่าเครียดนะคะ เดี๋ยวก็ดีเอง ขนาดนั้นเลย หมดท่าคุณแม่คนเก่งที่เคยยืนกรานจะเลี้ยงลูกกันสองคนผัวเมีย

4 วันแรกที่กลับบ้านเลี้ยงลูกเองกับมือ ให้นมวันล่ะแปดรอบ ทั้งปั๊มทั้งกินจากเต้า เหนื่อยหนักเป็นสองเท่า วันแรกๆกินนมแล้วนอน เออ ดี... พอมีเวลาอาบน้ำเตรียมตัว วันต่อมา กินนมแล้วไม่นอน อ้าว...ไม่ดีแล้วดิตอนนี้ แม่ไม่มีเวลาทำอะไร วันถัดมานอกจากไม่นอนแล้วยังร้องนอนสต๊อป กรี๊ดๆกร๊าดๆอีกแล้ว เครียดหนักเลยคราวนี้ เพื่อนที่คลอดพร้อมกันอยู่ดีๆก็โทรมาบอกว่า เอาพี่เลี้ยงศูนย์มั้ย โอ้โห อย่างกับสวรรค์ ใช้เวลาคิดอยู่สองวันออเดอร์เลยทันที โชคดีที่ได้พี่เลี้ยงฝีมือดีช่ำชองเด็กอ่อน เลือกแบบไปเช้าเย็นกลับ ตอนนี้ชีวิตเริ่มมีเวลาเป็นของตัวเองบ้างแล้ว พี่เลี้ยงก็ยังกับใส่ยานอนหลับให้ลูกดิฉันกิน อุ้มๆสักหน่อยเดี๋ยวนอน เดี๋ยวนอน เก่งจริงๆ พอตกกลางคืนก็พ่อแม่ดูแลกันสองคน ต้องมานั่งลุ้นกันทุกคืน จะนอน ไม่นอน

อาทิตย์ถัดมาต้องอยู่ไฟ ไอ้เราก็ไม่เคยเห็นความสำคัญของการอยู่ไฟเลย ไม่รู้เลยว่ามันดียังไง พอเลี้ยงลูกจนดูว่าไม่มีเวลาเลยจะไปยกเลิกไม่ทำ แม่ถึงกับห้ามอย่างแรงบอกว่าให้ทำ ไม่ทำแล้วจะเห็นผลตอนแก่ เดี๋ยวจะอ่อนแอ ปวดกระดูกกระเดี้ยว เลยไม่ได้ยกเลิก ก็พอดีมีพี่เลี้ยงมาช่วยดู เลยได้ทำ ไม่งั้นแย่เลย การอยู่ไฟนี่ต้องอดทนหน่อยล่ะ เค้าก็มานวดๆ เอาอิฐมานาบ เอาหม้อเกลือมานาบ ขัดตัว ขัดผิว เข้ากระโจม โอ้ย เหนอะหน่ะ ต้องทำ 7 วัน ก็ต้องทนกันล่ะ อาบน้ำก็ต้องอาบสมุนไพร ตอนนั้นตัวอย่างกับมีไอร้อนออกมาตลอดเวลา กว่าจะครบ 7 วันเกือบแย่

1 เดือนผ่านไป น้ำหนักลูกขึ้นมากิโลกว่า พร้อมกับน้ำหนักแม่ที่ลดลงไปสิบกิโล แต่แม่ต้องการอีกสิบกิโล คงต้องเลี้ยงกันให้หนักต่อไป

ใครจะนึกว่ามีเด็กเล็กๆคนหนึ่งมันจะเหนื่อยขนาดนี้ แม่บอกว่าเด็กนะ ไม่ใช่ตุ๊กตา ซึ้งแล้วใช่มั้ย อวดเก่งนักเป็นยังไงล่ะ บอกให้มาคลอดที่อุดรก็ไม่เอา ก็เลี้ยงกันไปแล้วกัน เด็กไม่จำเป็นต้องนอนตลอด แล้วอย่าไปอารมณ์เสีย อารมณ์ไม่ดี เพราะเด็กสื่อถึงแม่ได้ ยิ่งเราอารมณ์ไม่ดีเค้าก็จะยิ่งโยเย บางทีอ่านเจอในหนังสือ แม่คนอื่นช่วงแรกๆก็เครียด น้ำตาไหลพรากๆเหมือนกัน ดังนั้น ไม่ใช่เราคนเดียวในโลกที่กำลังเหนื่อย คนอื่นเค้าก็เหนื่อยทั้งนั้น

เรื่องลูกร้องไห้ก็อีกเรื่อง พอไม่มีอะไรทำก็ร้องไห้ อ่านจากบทความเค้าบอกว่าเด็กรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะสภาพแวดล้อมข้างนอกไม่เหมือนในท้องแม่ ก็จะร้องไห้ คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องปลอบกันไป มีวันแรกๆที่มา ร้องไห้ตลอดบ่ายไม่ยอมหยุด นอนก็ไม่นอน แม่สามีบอก เด็กมันร้องเพราะวันนี้วันพระ โอ้...ดิฉันถึงกับอึ้ง ทฤษฎีอะไรล่ะเนี่ย ถามไปถามมาได้ความว่า เด็กเล็กๆ จะมีพ่อแม่เก่ามาเล่นด้วยวันพระ จะมากวนไม่ให้นอน แล้วก็จะร้องไห้ทั้งวัน ... ขนาดนั้นเลยเหรอ เย็นนั้นเลยเปิดพระสวดให้ฟังซะเลย พอได้ยินเสียงพระสวด อ้าวเงียบ เงียบจริงจังด้วย วันพระถัดมาเลยดักด้วยการเปิดพระสวดตั้งแต่ตื่นนอนกันเลยทีเดียว แต่ปรากฎว่าน้องหลับสบาย ไม่เห็นจะร้องโยเย พึ่งจะมาเมื่อสองสามวันที่แล้วที่ร้องแล้วร้องตลอดบ่าย ไม่ยอมหลับยอมนอน ไปดูปฏิทินปรากฎว่าวันพระ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไว้วันพระหน้าจะรอดูใหม่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ใครมีลูกอ่อนๆลองสังเกตุลูกคุณสิคะ เค้าร้องไห้วันพระมั้ย

นี่ล่ะน้า เลี้ยงเด็กคนนึงกว่าจะโต พอมีลูกเป็นของตัวเอง เลยทำให้เข้าใจพ่อกับแม่มากขึ้น ตอนเด็กๆพ่อกับแม่ก็ต้องเลี้ยงดูเรามาแบบนี้ เหนื่อยแบบนี้กว่าเราจะโต ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความเป็นห่วงเลย มีเยอะแยะมากมายเกินกว่าจะสาธยายได้ เพียงแต่ว่าแต่ก่อนเราอยู่ในสถานะลูก สอนอะไรมาฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ขี้เกียจฟังบ้าง เดี๋ยวนี้ก็รู้แล้วว่าที่พ่อแม่ทำให้ทั้งหมดคือความเป็นห่วง ความรัก และอยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ใครที่พึ่งคลอดลูกแล้วสามารถเลือกได้ ให้เลือกไปอยู่ใกล้พ่อกับแม่ตัวเองให้เยอะๆ เพราะจะได้ความเข้าใจ ความเอาใจใส่ จนผ่านช่วงเวลาที่ต้องเลี้ยงลูกเล็กๆไปได้ด้วยดี ไม่มีใครใส่ใจเราได้ดีเท่าแม่เรา อย่างน้อยระหว่างช่วงเวลาเหนื่อยๆสามเดือนแรกนี้ก็ยังรู้สึกอบอุ่นใจที่มีแม่อยู่ใกล้ๆล่ะคะ เชื่อเถอะ
ใครที่กำลังมีลูกอ่อนๆคงเข้าใจประสบการณ์ที่เขียนมาให้อ่านดี นี่ยังมีเรื่องนมแม่ ที่ประเมินแล้วสามารถเอามาเขียนได้อีกตอน เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด หลายคนประสบปัญหา หลายคนถึงกับยอมแพ้ มันยากขนาดนั้นเลยหรือ แล้วจะมาเล่าให้ฟังแล้วกันนะคะ บางทีอาจจะเจอพวกหัวอกเดียวกันหลายคนก็ได้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ตอนนี้ขอลาไปเลี้ยงลูกก่อน กว่าหนังสือจะออก น้องคงได้อยู่อุดรแล้วล่ะคะ จะกลับไปอยู่กับอากงอาม่าแล้ว...

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2549

กว่าจะมีลูกสักคน

กว่าจะมีลูกสักคน 15/3/2551

ฉบับนี้ อาจะดูเหมือนเป็นภาคต่อของคราวที่แล้วนะคะ คราวที่แล้วทิ้งท้ายไว้ว่า คนที่เป็นช็อกโกแลตซีสต์ อย่าคิดว่าหมดหวังที่จะมีลูกนะ อะ....แน่นอน เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่าตอนนี้คนเขียนก็มีเจ้าตัวน้อยๆอยู่ในท้องแล้วล่ะคะ เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ แล้วอีกอย่างก็คือมาให้กำลังใจสำหรับคนที่กำลังเป็นอยู่ ว่าเรายังมีหวัง อย่าพึ่งท้อแท้ว่าจะไม่มีตัวเล็กๆมาให้ชื่นชม

ตั้งแต่เป็นโรคนี้มาก็ได้แต่รับคำบอกเล่าจากหมอให้ทำใจไว้นิดนึงแล้วว่า จะมีลูกยากนะ แล้วมันก็จริง เพราะมียากจริงๆ ไม่รู้กลไกอะไรข้างในมันต่างจากคนธรรมดาแค่ไหน รู้แต่กว่าจะติดได้ก็หมดกำลังใจไปแล้วหลายรอบ เสียแท่งทดสอบไปแล้วหลายอัน ทุกครั้งที่ทดสอบก็ลุ้นนะคะ แต่พอได้ขีดเดียวก็ใจแป้วว่าเฮ้อ...ไม่มาอีกแล้ว

ช่วงนั้นไปวัดที่ไหน หรือทำบุญที่ไหนก็ขอตลอด ขอเทวดา หรือนางฟ้าน้อยๆมาเกิด ขอให้เป็นเด็กดีของพ่อแม่ ฉลาด เรียนเก่ง ผิวพรรณดี หน้าตาดี หล่อๆ สวยๆ เป็นที่รักใคร่ของทุกคน ใครเห็นใครก็รัก พูดจาเพราะ มีสัมมาคารวะ เชื่อฟังพ่อแม่ อนาคตสดใสก้าวหน้า ไม่ทำให้พ่อแม่ลำบากใจ ขอตลอดเลยค่ะ ขอทุกที่ที่ไป ตอนหลังๆพอเค้าไม่มาเลยชักจะสงสัยว่าขอมากเกินไปหน่อย โลภมาก เจ้าจัดให้ไม่ถูก ยังไม่มีใครได้คุณสมบัติตามที่ว่าเลยยังไม่มาเกิดกันสักที ต่อไปจะขอพอนิดๆหน่อยๆแล้วกัน

แล้วเวลาเห็นข่าวตามทีวี หนังสือพิมพ์ หรือได้ยินเรื่องเด็กนักศึกษาเดี๋ยวนี้ ท้องแล้วไปทำแท้งกันเยอะเต็มไปหมด ก็จะรู้สึกว่า ทำไมจะต้องไปเกิดกับคนไม่พร้อมพวกนั้นเยอะด้วย แล้วทำไมต้องง่ายดายขนาดนั้น ทีเราพร้อมจะแย่ ไม่เห็นมาเกิดเลย อย่างงี้ไม่แฟร์ ยิ่งเห็นพวกพ่อแม่ที่พอคลอดแล้วก็เอาไปทิ้ง หรือรีบไปทำแท้ง ยิ่งสงสารเด็ก เห็นงานวิจัยชิ้นนึงบอกว่า เด็ก 2-3เดือนในท้อง เค้ามีความรู้สึกกันแล้วนะ มีหมอคนนึงได้สร้างภาพยนต์ด้วยการส่องกล้องเข้าไปในมดลูก แล้วบันทึกภาพเหตุการร์จริง ตอนที่แพทย์อีกคนกำลังจะทำแท้งให้ผู้หญิงคนหนึ่ง เด็กในนั้นน่าจะอายุครรภ์ประมาณ 3 เดือน เค้าอ้าปาก แล้วดิ้นรนหนีไอ้เจ้าเครื่องดูดที่หมอกำลังจะดูดเค้าออกมา ภาพนั้นเป็นที่น่าสลดใจมาก แต่ก็ได้ผลวิจัยมาว่า เด็กมีความรู้สึกตั้งแต่อายุครรภ์คุณแม่เท่านั้นแล้ว มีอาโกวคนเล็กบอกว่า ก็อย่างนี้แหละ เด็กมีบุญเดี๋ยวนี้น้อย เลยไม่มาเกิดกับเราสักที

อุ้ย พูดมาตั้งนาน ลืมเรื่องสำคัญ คราวที่แล้วพูดถึงคุณหมอที่ไปรักษาด้วย คุณหมออยู่ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ชื่อ รศ. นพ. ชาติชัย ศรีมบัติ คุณหมอถนัดเรื่อง ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือ ช็อกโกแลตซีสต์ เรื่องมีบุตรยาก แล้วก็การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องเป็นพิเศษ ที่ต้องลงชื่อให้ในฉบับนี้เพราะมีคนถามมานะคะ อย่างว่า เดี๋ยวนี้โรคนี้เป็นกันเยอะมาก เผื่ออยากจะไปหาคุณหมอเดียวกันจะได้ไปถูกคน
ไหนๆก็ไหนๆ จะขอเกริ่นพอคร่าวๆเกี่ยวกับวิธีการช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก พูดง่ายๆคือใช้วิธีไม่ธรรมชาติเข้าช่วย ขั้นตอนแรกไม่ใช่ว่าใครไปหาหมอแล้วหมอจะทำให้เลยวันนั้น เดี๋ยวนั้นนะ ไม่ใช่แบบ ไปถึงแล้วทำกิฟท์เลย หรือฉีดเชื้อเลย จะต้องมีการวิเคราะห์สภาพร่างกายกันหลากหลาย ดูว่าผิดปกติตรงไหน แล้วใครเป็นคนผิดปกติกันแน่ ผู้ชายหรือผู้หญิง เพราะบางทีโทษกันแต่ผู้หญิงๆ แต่จริงๆแล้วความบกพร่องมันอยู่ที่ผู้ชาย คุณหมอก็จะดูทั้งสองคน ของผู้หญิงก็อย่างที่รู้ๆกันถึงวิธีการตรวจ ของคุณผู้ชายนี่ก็ต้องไปเก็บเชื้อมาตรวจ อยากจะเมาท์จริงๆ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไง โรงพยาบาลเค้าจะมีห้องพิเศษไว้ให้ ในห้องจะมีทีวีหนึ่งเครื่อง พร้อมกับวีซีดีน้องๆสุดฮิตทั้งหลาย นึกออกมั้ยค่ะวีซีดีอะไร ไม่ใช้วีซีดีคอนเสิร์ตเอเอฟเอไทม์แน่ๆ จากนั้นก็คงจะแล้วแต่ความสามารถคุณผู้ชาย ซึ่งสุดท้ายก็จะได้สิ่งที่ต้องการมาให้พยาบาลเอาไปตรวจ มีคนนึงก่อนหน้าคุณสามี เป็นคนต่างชาติ อยู่ในห้องนั้นนานร่วม 2 ชั่วโมง คาดว่าคงดูจนหมด 6 แผ่นที่โรงพยาบาลมีให้ เอาให้คุ้ม พอตรวจทั้งสองฝ่ายเสร็จ คุณหมอก็จะให้ไปลองแบบธรรมชาติก่อน สักช่วงหนึ่ง ซึ่งก็คงจะมีการเซทวันไว้ให้ว่าวันไหนคือระยะหวังผล จะได้ปฏิบัติกิจกันได้ถูกวัน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คงจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการช่วยเหลือ อาจจะเริ่มที่การฉีดเชื้อ แล้วค่อยๆใช้วิธีที่ซับซ้อนยุ่งยากเพิ่มมากขึ้นไปอีกถ้าวิธีกึ่งธรรมชาติช่วงแรกๆไม่ได้ผล ฟังพี่พยาบาลพูดแล้วก็เหนื่อยแทนนะ คือเข้าใจหัวอกคนมีลูกยากแล้วอยากมีจริงๆว่ามันทรมานจิตใจมากๆ

วกกลับมาเรื่องท้องใหม่ กว่าจะได้คนนี้มาก็หลังจากที่ผ่าตัดครั้งที่สองมาแล้ว 4 เดือน จริงๆคุณหมอให้เวลา 6 เดือน ถ้าเกิน 6 เดือนอาจจะต้องเข้าสู่กระบวนการไม่ธรรมชาติล่ะ ซึ่งเราก็ไม่อยาก เพราะทราบดีว่านั่นมันเรื่องเจ็บตัวชัดๆ ตอนผ่าครั้งที่สอง คุณหมอเข้าไปเคลียร์ทางข้างในให้ด้วยการยืดท่อนำไข่ด้านขวา แล้วก็ฉีดสีดูการผ่านของท่อนำไข่ แต่ก็ยังไม่วายบอกว่าข้างที่เหลืออยู่ข้างดียวนี่ดูมันบวมๆนะ ทำใจไว้ ไอ้เราก็เพียรพยายามมาเรื่อยๆ จนสุดท้าย ชวนกันไปเที่ยวชะอำ เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แหม... มันได้ผลดี เพราะต้นเดือนตุลาที่ผ่านมา เทสต์แล้วได้สองขีด ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อสายตาตัวเอง ท้องแล้ว ความรู้สึกบอกไม่ถูกประเดประดังเข้ามา กลายเป็นว่าจะเป็นแม่คนแล้วเหรอ อยู่กับตัวเองมาตั้งหลายปี นี่จะมีน้องมาอยู่ในท้องอีกคน ออกมาจะเลี้ยงกันยังไงเนี่ย แล้วจะเป็นหญิงหรือชาย อุ้ย... สารพัดจะคิด

วันนั้นไปซื้อเครื่องเทสต์มาอีกสองกล่อง สองยี่ห้อ เอาให้ชัวร์เลยว่าใช่ แล้วก็ไม่ผิดหวัง จากนั้นก็ต้องไปส่งข่าวคุณหมอ คุณหมอกับพี่พยาบาลก็ทำหน้าแปลกใจนิดๆนะ ท้องแล้วเหรอ ประมาณนี้ แล้วคุณหมอก็บอกว่า อย่างนี้แปลว่าการผ่าตัดได้ผลดี แต่....คุณมีภาวะเสี่ยงจะท้องนอกมดลูก เพราะผ่าตัดมา แต่ตอนนี้คงยังดูไม่ได้ ต้องรออีกสัก 2 อาทิตย์ ระหว่างนี้ถ้าปวดท้องมากๆ ให้มาหาหมอที่โรงพยาบาลทันที เอ้า ก็เครียดเลยสิ ตอนนั้นจะไปเที่ยวญี่ปุ่นอยู่แล้ว ดีที่หมอนัดก่อนไปญี่ปุ่นให้มาซาวด์ดูชัดๆอีกที ถึงวันนัด แค่คุณหมอเอาเครื่องเช็คลงไป ก็เห็นเป็นถุงน้ำแล้วว่า ลูกแม่ไม่ได้อยู่ตรงปีกมดลูก แค่นี้ก็สุดแสนจะโล่งอก
แต่ ยังไม่จบแค่นั้น คุณหมอยังทิ้งระเบิดอีกว่า ถ้าผมนับไม่ผิด เด็กก็ขนาดปกติดี แต่ถ้าผมนับผิด เด็กดูจะตัวเล็กไปหน่อย ถ้าเค้าไม่อยู่กับเรา ก็ทำใจนะ เค้าจะค่อยๆฝ่อ แล้วหลุดออกมาเอง คุณอาจจะเจ็บพักนึง เดี๋ยวก็หาย จากที่คุณแม่จะหายเครียด เลยกลายเป็นเครียดต่อ ต้องไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว ขอให้เค้าอยู่ ขอให้ตัวโตๆ อยู่กับแม่นี่แหละ ไม่ไปไหน คุณหมอให้ยากันแท้งมากินก็จะกินทุกวัน หนูจะได้อยู่ แต่หนูต้องตัวโตๆนะ

พอไปเที่ยวก็ใจตุ้มๆต่อมๆ ทั้งเดินเยอะ ทั้งวิงเวียน แต่ก็พยายามดูแลท้องให้ดีที่สุด จากที่ชอบอาหารญี่ปุ่นกลายเป็นไม่อยากกินซะอย่างนั้น ชอบกินแต่อาหารฝรั่ง ได้กลิ่นนมกลิ่นเนย พวกขนมปังนี่จะชื่นชอบและตื่นตัวเป็นพิเศษ จนกลับมาจากไปเที่ยวแล้วไปหาหมออีกรอบ คราวนี้คุณหมอดูน้องแล้วบอกว่า น่าจะโตเป็นปกติแล้วล่ะ ไม่น่าจะมีอะไร คุณแม่ก็โล่งอก แต่หมอก็ไม่ให้ไว้วางใจ ให้ดูแลตัวเองดีๆตลอด 5 เดือนแรก เพราะเป็นคนมีลูกยาก เครื่องในข้างในก็ไม่ค่อยจะดีเหมือนชาวบ้านเค้า หมอก็กลัวไปด้วย แต่ก็ยังขู่ไม่ให้กินน้ำตาลกับแป้งเยอะ ให้น้ำหนักขึ้นน้อยๆ ไม่ต้องพรวดพราด 20-30โล เอาแค่ 12 โลก็พอแล้ว

คั่นเวลานิดนึง อยากจะแนะนำคนที่กำลังแพลนว่าจะมีน้องนะคะ ให้กินโฟลิคก่อนท้องสัก 3 เดือน แล้วพอท้องก็กินต่ออีก 3 เดือน จะช่วยเรื่องสมองกับลูกน้อยมาก อีกอย่าง ถ้าคิดว่าตัวเองท้อง อย่าอิดเอื้อนที่จะตรวจ อย่าแบบว่า ไม่อยากรู้ผลแล้วปล่อยเอาไว้ ยิ่งตรวจ ยิ่งรู้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะการฟอร์มตัวสร้างอวัยวะจะอยู่ที่ 2-3 เดือนแรก ช่วงนี้ถ้าเราไม่รู้ว่าท้องแล้วไปกินยาสุ่มสี่สุ่มห้าจะเป็นอันตรายกับเด็กนะคะ แนะนำว่าให้รีบๆตรวจ รีบๆรู้ รีบๆฝากครรภ์ หมอจะได้แนะนำถูก แล้วก็ให้กินยาบำรุงกันแต่เนิ่นๆเลย ดีกับลูกมากมาย

ตลอด 3 เดือนแรก จะว่าแพ้ก็แพ้นะ แต่คิดว่าไม่มากเท่าคนที่หนักจริงๆเท่าไหร่คะ แค่วิงเวียน ไม่อยากกินอะไรทั้งสิ้น อยากอาเจียน แต่ไม่อาเจียน ท้องอืด ลมดัน ง่วงนอน กินเท่าไหร่ก็น้ำหนักไม่ขึ้น แปลกใจ เพราะไปกินพิซซ่าเป็นว่าเล่น อย่างที่บอก ไม่ชอบอาหารอะไรเลยนอกจากฝรั่ง ก็เลยกินแต่อาหารฝรั่ง จนหมด 3 เดือนแรก อาการก็หายเป็นปลิดทิ้ง งงมาก เพราะเหมือนคนปกติแล้ว เดินเหินสะดวกสบาย
ที่โรงพยาบาลเค้าก็จะมีคอร์สคุณแม่มือใหม่ให้ เรียนฟรี แค่ไปลงทะเบียน แต่ต้องฝากครรภ์กับโรงพยาบาล ไปถึงก็จะมีคนมาสอนออกกำลังกาย คนเข้าเรียนส่วนใหญ่มีแต่เด็กๆทั้งนั้นน่ะคะ ก็พ่อแม่มือใหม่นี่นะ ส่วนใหญ่ก็อายุไล่ๆกัน ไม่เกิน 30 ออกกำลังกายเสร็จก็เป็นคอร์สโภชนาการ มีนักโภชนาการมาบอกว่าต้องกินอะไรบ้างเยอะมากน้อยแค่ไหน อันไหนไม่รู้เราก็ถาม ซึ่งตรงนี้จะได้ประโยชน์มาก เช่น คุณแม่ไม่ควรกินนมวัวเยอะๆ ไม่ใช่คิดว่าดีแล้วตะบี้ตะบันกิน เพราะลูกจะออกมาแพ้นมวัวได้ ให้กินนมวัว สลับกับนมอย่างอื่น เช่นนมถั่วเหลืองบ้าง น้ำส้ม ก็ให้กินส้มเป็นลูกแทนการกินน้ำส้มเป็นแก้ว เพราะน้ำส้มแก้วนึงเท่ากับใช้ส้ม 3-4 ลูก แค่คุณกินส้มธรรมดาลูกเดียวกอิ่มจะแย่อยู่แล้ว นี่ตั้ง 3 ลูก น้ำตาลจะสูงขนาดไหน ส่วนปลาก็กินแล้วดี โดยเฉพาะปลาทะเลที่มีโอเมก้า-3 เช่นแซลมอน แต่ก็ไม่ใช่กินทุกวัน กินอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน กินทุกวันก็อาจจะต้องระวังสารปรอทนิดส์นึง ปลาอีกอย่างที่ดีคือปลาทู ปลาที่ห้ามเลยคือปลาดาบ ไข่ก็ต้องกิน ส่วนที่ว่าไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ต้ม ต่างกันไหม พี่เค้าบอกว่าไม่ต่าง แค่บางอันมีน้ำมันเยอะ เราก็เลือกกินเอาแล้วกัน น้ำมะพร้าวก็กินได้ แต่ต้องให้อายุครรภ์เกิน 7 เดือนก่อนนะคะ เพราะมีฮอร์โมนเพศหญิง ต้องรอให้ลูกโตก่อน กินก่อนนั้นจะไม่ดี

น้ำหนักคุณแม่ขึ้นอยู่กับว่าก่อนท้องอ้วนหรือผอม ถ้าผอมอยู่แล้วก็ขึ้นได้ถึง 18-20 โล แต่ถ้าอวบอ้วนตึงๆแบบคนเขียนอยู่แล้ว เอาแค่ 12 โลก็พอ ดังนั้น ไม่ใช่เห็นอะไรอยากกินก็สวาปามเข้าไปหมด น้ำหนักขึ้นเยอะ ลูกตัวใหญ่ออกเองไม่ได้นะ แป้งกับน้ำตาลให้ควบคุมกันด้วย ล่อเค้กทีละ 2 ปอนด์นี่ก็ไม่เอา ลูกตัวใหญ่เพราะน้ำตาลกับแป้งนี่จะดีหรือ น้ำอัดลมก็ลดๆลงหรือไม่กินไปเลยก็จะดีมาก
จากนั้นพี่พยาบาลก็จะมาเล่าถึงพัฒนาการของเด็ก ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนคลอด อาการแพ้ท้อง อาการที่อาจเกิดขึ้นระหว่างท้อง วิธีแก้ไข แล้วก็แพ็คเกจของโรงพยาบาล เดี๋ยวพอใกล้ๆคลอดก็จะได้เข้าคอร์สแอดวานซ์ ซ้อมเบ่ง อาบน้ำลูก ดูแลลูกหลังคลอดอะไรอย่างนี้นะคะ

จบเรื่องอคร์สแล้วจะเล่าเรื่องท้องต่อ ตอนแรกที่รู้ว่าดิ้นก็ประมาณ 5 เดือน โห มันช่างน่าตื่นเต้นนะคะ เหมือนอะไรดิ้นๆอยู่ในท้อง หลังจากนั้นก้จะรู้สึกว่าเค้าดิ้นทุกวัน สนุกดี แล้วก็อ่านหนังสือเยอะๆ โดยเฉพาะการฝึกพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ มีหนังสือเล่มนึงอยากจะแนะนำ เพราะคุณหมอคนเขียนเขียนไว้ดีมากๆ อ่านแล้วน่าติดตาม ชื่อ “ลูกฉลาดได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์” พออ่านแล้วจะรู้สึกว่า เค้ารับรู้ตั้งแต่อยู่ในท้องเราแล้ว ทำให้เราพยายามฝึกให้เค้าฉลาดตั้งแต่อยู่ในท้องกันเลย ให้ฟังเพลงคลาสสิค พูดคุยกันทุกๆวัน เล่านิทานให้ฟังก่อนนอน พังเพลงก็ต้องฟังเพลงเดิมๆ วันละ 15-20 นาที ฟังบ่อยเกินไปเดี๋ยวเค้ารำคาญ เล่านิทานก็ต้องเรื่องเดิมๆ จะได้จำได้ ถ้าคุณแม่ได้นั่งม้าโยกด้วยก็จะดีมาก เพราะเป็นการฝึกการทรงตัวให้เจ้าตัวน้อย มีพี่คนนึงบอกว่าเค้าให้ฟังชินบัญชร แล้วนังม้าโยก ลูกออกมาคอตั้งเร็วมาก แล้วเค้าจะสงบ เรียบร้อย ไม่โยเย แต่ท่าทางลูกเราอาจจะไม่ได้เหมือนพี่เค้า เพราะแม่ชอบเม้งแตกทุกวัน สมาธิก็ไม่เคยทำ วอกแวกเหลือเกิน จริงๆเข้าใจว่าคุณแม่ทุกคนตอนท้องก็คงได้อ่านเรื่องพวกนี้อยู่แล้วล่ะ แต่ก็อยากจะเล่าอีก อยากจะแนะนำหนังสือดีๆให้ได้อ่านกัน

พอครบ 6 เดือน ก็ไปอุลตร้าซาวด์ครั้งใหญ่ ไปดูอวัยวะภายในของลูก กระดูกสันหลัง กระดูกส่วนอื่นๆ แขน ขา สมอง แกนสมอง น้ำในสมอง หัวใจ ตับ ไต ทางเดินเลือด และเพศ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกงงๆ ว่าเดี๋ยวนี้เค้าดูได้ขนาดนี้แล้วเหรอ ตื่นเต้นมาก คิดว่าจะเอาไปโม้ให้พี่สะใภ้ฟัง อุตส่าห์เตรียมแผ่นดีวีดีที่คุณหมออัดให้ไปขี้คุยว่าเดี๋ยวนี้เค้าทำอย่างนี้ได้แล้วนะ ที่อุดรคงไม่มีหรอก แต่เพื่อความเซฟเลยไปเล่าให้ฟังก่อนว่าไปทำอย่างงี้ๆมา พี่สะใภ้บอกว่า อ๋อ ที่อุดรก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน ตอนท้องน้องอิก น้องอ๋อง หมอก็ดูให้ ดูพวกขนาดสมอง อวัยวะภายใน แหม... จากที่เราจะโม้ต่อเลยรีบเก็บอุปกรณ์เลย ที่อุดรมีเหมือนกันก็ไม่บอก โธ่เอ้ย... ดีนะ ไม่ปล่อยไก่ขี้คุยไปมากกว่านี้ เรื่องเพศลูกเหรอคะ ไม่บอกคนอ่านแล้วกัน ไว้เจอกันคงจะได้รู้เอง

ตอนที่เขียนนี่ก็ 7 เดือนแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็คลอด ตื่นเต้น วิตกกังวลน่าดู แต่ก็ถือว่าตัวเองโชคดีกว่าอีกหลายๆคน ที่กว่าจะได้ลูกคนนี้มา ไม่ต้องถึงกับไปผ่านกระบวนการที่ไม่ธรรมชาติ ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องเสียใจถ้าวิธีการพวกนั้นไม่สำเร็จ รู้สึกเห็นใจคนมีลูกยากจริงๆ ของตัวเองนี่ก็แค่เสียใจบ้างบางเดือนที่เค้ายังไม่มาสักที กลัวซีสต์จะกลับขึ้นมาอีก จนต้องไปผ่าตัดอีกรอบ ดีที่ลูกมาก่อน เหมือนฟ้าประทานให้มาเลยล่ะคะ ฉบับหน้าตอนเขียนคงใกล้คลอดเต็มทน แต่จะหาเรื่องอื่นๆมาเล่าให้คนอ่านฟังดีกว่า เดี๋ยวจะเบื่อกันไปซะก่อน แล้วเจอกันนะคะ

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2549

ช็อกโกแลตซีสต์

ช็อกโกแลตซีสต์ 18/1/2551

ขึ้นชื่อเสียน่ากินทีเดียว แต่เรื่องที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้แสนจะน่ากลัว ความตั้งใจแรกก่อนจะเขียนเรื่องนี้คืออยากจะเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ส่วนความตั้งใจที่สองที่สำคัญไม่แพ้กันคือ อยากจะเตือนผู้หญิงอายุน้อยๆเนี่ยแหละคะ ให้ระวังเรื่องสุขภาพกันให้มากขึ้น รู้ก่อนแก้ได้ก่อน ดีกว่ารู้ทีหลังแล้วต้องเจ็บตัวกันมากมาย

แต่ก่อนอื่นก็ต้องขอออกตัวก่อนนะคะว่าไม่ใช่หมอ ไม่ได้เป็นหมอ ที่จะเล่าให้ฟังนี่ก็ประสบการณ์ล้วนๆ บวกกับการหาข้อมูลมาเองจนเข้าใจในระดับหนึ่ง เลยจะเอามาเล่าสู่กันฟังแบบชาวบ้านๆ เข้าใจกันง่ายๆ

ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นเริ่มมีประจำเดือน ไม่เคยรู้จักหรือได้ยินโรคนี้มาก่อน เรื่องที่จะไปหาหมอสูติ ตรวจหน้าท้องหรืออะไรก็ตามนี่ก็ไม่เค้ยไม่เคยไป ความรู้สึกคือมันเป็นเรื่องไกลตัว บางทีแม่เล่าให้ฟังก็ให้นึกสยองว่าโอ้โห หมอเค้าตรวจภายในกันอย่างนั้น เจ็บแน่เลย เรายังเป็นเด็กเป็นเล็กอยู่คงไม่ต้องไปหา และไม่เห็นจะต้องไป เรียกว่าไกลตัวมากเลยล่ะ

พออายุเข้าประมาณ 20 ช่วงที่มีประจำเดือนนะก็โอ้โห แหม... ปวดท้องจนตัวงอ แต่ไม่ถึงขนาดเดินไม่ได้ คือจะเป็นเฉพาะวันแรก แล้วมันก็ทรมานมาก ยิ่งพออายุเข้า 21 -22 ยิ่งปวดไปกันใหญ่ ตอนนั้นเรียนอยู่อังกฤษ เดินไปเรียน หนาวก็หนาว ปวดท้องก็ปวดท้อง เวลาปัสสาวะทีนี่ต้องงอตัวกันเลยทีเดียว คือไม่รู้ว่ามันไปผ่านอะไรข้างในหล่ะ รู้แต่เจ็บจริงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเป็นเหมือนอาการปวดท้องธรรมดาๆ เพราะมีเพื่อนหลายคนก็เป็นอย่างนี้ บางคนไปเรียนไม่ได้ บางคนต้องกินยาหนักกว่าเราอีก ก็เลยรู้สึกว่านี่มันธรรมดาโลกของผู้หญิง จนเรียนจบกลับมาประเทศไทย

สามเดือนถัดมา จำได้ว่าอีกสองวันก็ปีใหม่ ตื่นเช้าขึ้นมา เป็นวันที่จำได้ขึ้นใจ เพราะรู้สึกปวดท้องจนขยับตัวไม่ได้ ตอนแรกก็นึกว่าเป็นอาหารเป็นพิษ ก็ลากสังขารตัวเองคลานลงมาจากเตียง คลานต่อไปห้องน้ำ ไปพยายามอ้วก แต่มันไม่อ้วก มันมีแต่ความเจ็บปวด หน้าซีด เหงื่อออก เจ็บปวดเหมือนมีอะไรมากดตรงท้องตลอดเวลา เลยคว้าโทรศัพท์ได้โทรหาแม่ แม่ก็คงงงๆ แต่ก็ให้พี่ชายมาหิ้วปีก ไปโรงพยาบาลอุดร ไปถึงห้องฉุกเฉิน แพทย์เวรมาตรวจท้อง พอจับกดไปที่ท้องน้อย ถึงกับทะลึ่งพรวดกันเลยทีเดียว หมอเลยวินิจฉัยว่าต้องหาหมอสูติ ตอนนั้นก็เช้ามาก หมอยังไม่มา พยาบาลเลยให้ยาแก้ปวด จากที่ปวดๆเลยพอทุเลา แม่เลยพาไปหาหมอสูติที่คลินิกแทน ไปถึงหมอก็อัลตราซาวนด์แล้วพบก้อน คือเห็นชัดเลยว่าเป็นก้อนเพราะขนาดมันใหญ่ แต่หมอไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร เพราะดูได้ไม่ชัด ต้องเข้าไปดู อาจจะต้องตัดรังไข่ข้างนึงด้วยนะ แต่ก็ไม่แน่ ต้องเข้าไปดูก่อน หมอเลยสั่งแอดมิทผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องเลยทันที เสร็จเลย

เลยกลับบ้านมาเตรียมตัวไปผ่าตัด แล้วก็เตรียมใจด้วย แต่อย่างนึงคือคิดว่าโชคดีแล้วที่ไม่เป็นตอนอยู่เมืองนอก ไม่งั้นแย่เลย ตลอดเวลาที่ผ่านมากลัวการผ่าตัดมาก เหมือนเราโดนแหวะท้อง แต่พอถึงเวลาจริงๆ จะผ่าก็ผ่านะ เดี๋ยวไม่หาย แล้วก็เข้าไปโรงพยาบาลใหม่ ปฏิบัติตามขั้นตอน ได้คิวผ่าตอน 10 โมงกว่าๆ ถึงเวลาก็มีคนมาเข็นรถไปเข้าห้องผ่าตัด เข้าไปแป็บเดียวคือก็ไม่รู้เค้าทำอะไร เหมือนจะฉีดอะไรเข้าไปในแขนแล้วก็หลับเลยที ยาวมากจนมารู้สึกตัวอีกทีตอนบ่ายสาม จังหวะที่พยาบาลย้ายจากเตียงรถเข็นมาที่ห้องพัก ก็สลึมสลือ แต่สติบอกว่าหน้าท้องเนียนๆคงไปแล้วแน่ๆ ตอนนี้เหมือนมีเส้นแบ่งอาณาเขตของท้องน้อยสองฝั่งเกิดขึ้นแล้ว บ่ายๆวันนั้น หมอก็เข้ามา เอาสิ่งที่ออกมาจากท้องให้ดู แล้วบอกว่า มันเรียกว่าช็อกโกแลตซีสต์ หรือ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หมอเลาะมันออกมา แต่ไม่ได้เอาอวัยวะส่วนไหนของข้าพเจ้าออกมาเลย ซีสต์ชนิดนี้ไม่ได้เป็นอันตรายอะไรมาก ที่เจ็บท้องมากเพราะมันรั่วออกมา ยังไงก็ต้องผ่าอยู่ดี แล้วมันก็ไม่ใช่ประเภทที่จะกลายเป็นเนื้อร้าย แต่เราต้องอยู่กับมันคือดูแลกันไป แล้วหมอก็ไป แล้วเราก็พักฟื้นกันอีกเป็นเดือน เพราะผ่าตัดหน้าท้องแนวตั้ง ความยาวหลายนิ้ว ก็ต้องดูแลกันเยอะหน่อย

หลังจากนั้นก็ต้องไปรับอีแนนโทน เป็นฮอร์โมนที่โคตรแพง ฉีดอีก 6 เข็ม เข็มละเดือน ระหว่างนี้ก็หาข้อมูลด้วยตัวเอง ถึงได้รู้ว่าลักษณะของโรคนี้เป็นยังไง โรคนี้ยังหาสาเหตุไม่ได้ เหมือนกับว่าใครเจอแจ็คพ็อตก็รับไป เป็นเยื่อบุโพรงมดลูกที่ไปเจริญผิดที่ เท่าที่อ่าน คือเป็นเลือดประจำเดือนที่ไหลย้อนกลับไปทางท่อนำไข่ และไปฝังตัวภายในอุ้งเชิงกรานจนเกิดเป็นตุ่มเหมือนสิว ทุกเดือนที่มีประจำเดือนออกทางช่องคลอด ตุ่มเล็กๆที่ฝังตัวอยู่ก็จะมีเลือดออกเช่นกันหรือร่วมกับมีปฏิกิริยาการอักเสบ กลายเป็นเลือดคั่งหรือถุงน้ำช็อกโกแลตและมีพังผืดเกิดขึ้น ทุกเดือนพังผืดจะฝังตัวมากขึ้นทำให้ท่อนำไข่คดงอหรือปลายท่อตีบตัน ถ้าใหญ่มากมันก็อาจจะรั่วจนทำให้เจ็บท้องอย่างที่เป็นนี่ล่ะคะ

พอยิ่งหาข้อมูลเพิ่มมากขึ้นก็เริ่มเสียดายโอกาสของตัวเองแล้วคราวนี้ คือถ้าเราใส่ใจตัวเองสักหน่อย รู้จักไปหาหมอตรวจตอนที่ปวดท้องเมนมากๆ ก็คงไม่ต้องผ่าตัดขนาดนี้แล้วหล่ะ แต่ก่อนคิดแต่ว่าหมอจะตรวจภายในอย่างเดียวไง เลยกลัวเจ็บ ไม่รู้ว่าเค้ามีอัลตราซาวนด์หน้าท้องซึ่งไม่ได้เจ็บอะไรแม้แต่แอะเดียว นอกจากต้องอั้นฉี่จนสุดแล้วถึงจะทำได้แค่นั้นเอง นี่ถ้าไปตรวจตั้งแต่ก่อนผ่า แล้วเห็นก็อาจจะไม่ต้องผ่าตัดเปิดหน้าท้องให้เสียหน้าท้องเนียนสวย พอยิ่งมาพบว่า ตอนนั้น(6ปีที่แล้ว)มีการผ่าตัดแบบส่องกล้องแล้ว ยิ่งเซ็งใหญ่ ถ้าส่องกล้องเราก็จะมีแผลแค่ 1 เซ็นต์เท่านั้น หมอจะสอดกล้องเข้าไป ซึ่งกล้องจะขยายได้หลายเท่า แล้วก็ทำการผ่าตัด ข้อดีคือเราไม่ต้องเจ็บมาก ใช้เวลาในการพักฟื้นนิดเดียว แล้วมารู้ตอนนี้ ถ้าอาการกลับมาอีก ต้องผ่าตัดอีก หมอบอกว่าทำไม่ได้แล้วแหละ เพราะผ่าตัดใหญ่แล้ว ส่วนใหญ่หมอจะไม่ส่องกล้อง เพราะมันมีพังผืดเกิดขึ้นแล้ว ความหวังดับวูบ เลยอยากจะมาเตือนสาวๆว่า ใครสงสัยก็ลองไปตรวจดู เพราะถ้าเจอจะได้เจ็บกันน้อยๆ แล้วไม่ต้องรอจนมันรั่ว ปวดท้องแทบขาดใจขนาดนี้ หาทางรักษาก่อนดีกว่า ฝากเนื้อฝากตัวกับหมอที่ส่องกล้องได้ จะได้ไม่ต้องผ่าตัดเปิดหน้าท้อง

ย้อนกลับมาเรื่องอีแนนโทนแสนแพง เข็มละเกือบหมื่น ฉีดแล้วเหมือนนั่งไทม์แมชชีนเข้าสู่วัยทอง กระดูกกระเดี้ยวลั่นกรอบแกรบ ร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน บางรายหนักหน่อยมีหนวดขึ้น ดีนะที่ไม่เป็น ไม่งั้นคงจะแมนมาก พอฉีดได้ตัวนี้เข้าไปก็จะทำให้เราไม่มีประจำเดือน เป็นการยังยั้งไม่ให้มันกลับมา อย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่ง ช่วงนั้นก็จะสบายๆ ประจำเดือนไม่มา แต่ยังต้องรักษาแผลอยู่ 6เดือนผ่านไป ไปอัลตราซาวนด์ หมอก็บอกว่าไม่เห็นอะไรแล้ว ก็เลยสบายใจ

11 เดือนผ่านไป เรียกว่าหยุดฉีดยาไปได้ อีก 5 เดือน เข้าใจว่าหายแล้ว แต่เอ๊ะ ทำไมเจ็บๆ ไปหาหมอใหม่ หมออัลตราซาวนด์ให้พร้อมกับบอกว่า ... มันมาอีกแล้ว... โลกถล่มทลายเลยตอนนั้น ทำไมมาไวนัก ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไม ทำไม ไม่ใช่อะไรหรอกนะ คือนึกภาพตัวเองวันเจ็บท้อง แล้วผ่าตัด แค่นั้นก็สยองแล้ว แล้วนี่ต้องผ่าตัดใหม่อีกเหรอ แต่คุณหมอบอกว่า อย่ากระนั้นเลย เราฉีดคุณแนนโทนอีกสัก 6 เข็มแล้วดูกันใหม่ บางทีมันอาจจะฝ่อไปเองก็ได้ เลยเริ่มอีแนนโทนอีกรอบ คุณหมอบอกว่า อีกทางที่จะแก้ให้หายคือ หาสามี แล้วแต่งงาน แล้วมีลูก ตอนท้องไม่มีประจำเดือนก็จะช่วยได้อีกแรงหนึ่ง พอมีลูกพอแล้ว ถ้ามันกลับมาอีกเราก็ยกเครื่องในของเราออกเลย ไม่ต้องกังวล คุณหมอตลกเนอะ มากดดันกันด้วยการให้หาสามี บอกแม่ด้วยนะว่าหาสามีให้ลูกสาวเถอะ มันง่ายอย่างกับจับรางวัลฝาลิโพอย่างงั้นเลยนะคะคุณหมอ ออพชั่นนี้มืดแปดด้านมาก คุณหมอบอกอีกว่า คนที่เป็นโรคนี้ จะมีบุตรยาก เพราะข้างในไม่ค่อยสมบูรณ์ เรียกว่าเป็นสาเหตุหนึ่งเลยล่ะ ดูสิ นอกจากหาสามียากแล้ว ยังมีบุตรยากอีก เวรกรรม

แล้วเราก็รู้สึกว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมจริงๆ คือต้องอยู่ต้องดูแลกันไปอย่างนี้ มีเงินมีทองไม่ได้ช่วยอะไรถ้ามีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามา แถมเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ เพราะยังมีปณิธานว่าจะมีลูกอยู่ เลยต้องรักษาเครื่องในไว้ให้ดี ก็เลยต้องอยู่กับมันด้วยความทรมานใจบ้างในบางครั้งเวลาคิดถึงไอ้ถุงบ้าๆที่อยู่ในท้อง จนวันหนึ่งก็ถึงคราวได้แต่งงาน

ยัง.. อย่านึกว่ามันจะจบเท่านั้น หลังจากหมดอีแนนโทนแล้วเราก็รับยาคุมประเภทสามเดือนมาเรื่อยๆ จนแต่งงานถึงได้ฉีดเป็นเข็มสุดท้าย แต่เข็มสุดท้ายนั่นก็ไม่ได้ทำให้มีลูกเลยเหมือนหมดฤทธิ์ ยาคุมจะค่อยๆลดลงไป อาจจะใช้เวลาถึง 6 เดือน คือเอาง่ายๆ แต่งมิถุนา กว่าจะมีลูกได้ก็มกราปีหน้าโน่น พอย้ายมาอยู่กรุงเทพ ก็ต้องหาหมอกันล่ะ เราก็เริ่มควานหาด้วยความหวัง เพราะคิดว่าหมอคงมีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ดีแล้ว คงส่องกล้องให้เราได้แน่ แล้วก็ค้นพบว่าหาหมอที่ทำได้นี่ยังกับงมเข็มในมหาสมุทร เพราะไปหามาถึงสองหมอ โรงพยาบาลดัง หมอบอกไม่ได้หรอก ทำไม่ได้ เพราะหนูมีพังผืดแล้ว ถ้าไม่เคยผ่าตัดใหญ่เนี่ย สบาย ทำได้แน่นอน มีหมอคนหนึ่งบอก ถ้าจะทำหมอคงต้องส่งไปให้คนที่ชำนาญกว่า จนสุดท้าย เลือกไปที่บำรุงราษฎ์ กะว่าไม่ไปไหนล่ะ เอาที่นี่แหละ น่าจะดีที่สุด หมอเก่งๆมารวมกัน อีกอย่าง ถ้าไปหาหลายๆหมอ เดี๋ยวคนโน้นบอกไปทางนั้น เดี๋ยวคนนั้นบอกให้กินอันนี้ สู้เลือกหาคนใดคนนึงแล้วตามเค้าไปเลยคนเดียวน่าจะดีกว่า

เกณฑ์ในการเลือกหมอคือเลือกหมอที่เก่งในเรื่องนี้ แล้วก็เก่งเรื่องภาวะมีบุตรยากไปพร้อมๆกัน จะได้ดูแลทีเดียว ไปหาครั้งแรกก็บอกหมอเลยว่า หมอคะ หนูจะฝากชีวิตหนูไว้กับหมอแล้วล่ะ จะเชื่อหมอคนเดียวแล้ว ไม่อยากหาความเห็นที่สองอะไรทั้งนั้น มันสับสน แล้วก็ได้ถามกันถึงข้อข้องใจว่าถ้าผ่าตัดอีกก็อยากจะส่องกล้อง แต่ไม่มีหมอคนไหนทำให้เลย หมอได้ยินอย่างนั้นก็ตอบมา ดั่งสวรรค์ประทานหมอมาให้กับเรา หมอบอกว่า คนไข้ที่มาส่องกล้องกับหมอ มากสุดเคยผ่าตัดใหญ่มาแล้ว 10 ครั้ง หมอยังส่องให้ได้ ของคุณแค่ครั้งเดียว เล็กน้อยมาก จริงๆหมอท่านอื่นๆพูดมาก็ไม่ผิด ถ้าผ่าตัดเปิดหน้าท้องแล้วมันมีพังผืด จะส่องกล้องมันก็ยากแล้วก็เสี่ยง แต่มันก็มีวิธี คือเลี่ยงทางเจาะเอา เลี่ยงตรงที่มีพังผืดไปเสียก็ได้ ได้ยินอย่างงั้นโอ้โห ใจชื้นขึ้นมาก ขอฝากเนื้อฝากตัวเลยแล้วกัน

เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงมกราอีกปี คิดว่ายาคุมคงหมดฤทธิ์แล้ว ก็เริ่มปฏิบัติการมีน้อง แต่แหม... มันยากนะ ไม่มาสักที ทำยังไงก็ไม่มา จนเข้าเดือนมีนา ลางร้ายก็เริ่มปรากฏ คือเริ่มปวดที่ท้องน้อยอีกแล้ว ส่วนตัวก็รับรู้ได้เองว่ามันปวดแบบไม่ปกติ ไปหาหมออัลตราซาวนด์ ก็ได้รู้ความจริงอันแสนเจ็บปวดคือมันกลับมาอีกแล้ว แถมมีถุงน้ำรังไข่พ่วงเข้ามาอีกด้วย เครียดมาก เพราะมันโตเร็วมาก แค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง แต่ด้วยความที่มันยังไม่ปวดมาก หมอก็บอกไม่ต้องทำไร รอไปก่อน ไว้พร้อมเมื่อไหร่เราค่อยมาผ่าตัดกัน เราก็รอ ไม่รู้รออะไรเหมือนกัน รู้แต่ยังไม่อยากผ่า จนเข้าเดือนพฤษา จำได้เลยว่าวันแรงงาน คืนก่อนนั้น ปวดท้องมาก ปวดจนน้ำตาไหล แต่พอนอนก็หาย วันถัดมาไปหาหมอ บอกหมอว่า ไม่ไหวแล้วนะคะ หนูว่าคุณหมอนัดวันผ่าเถอะ เอาเร็วที่สุด หนูสยองกลัวเหมือนคราวที่แล้ว คุณหมอบอกอาทิตย์นี้ไม่ว่าง ขอเป็นอาทิตย์หน้าแล้วกัน ก็โอเคเป็นอาทิตย์หน้า ชะล่าใจไง นึกว่าเดี๋ยวปวดแล้วเดี๋ยวก็หาย

ปรากฏคืนนั้นได้เรื่องเลยทันที ประมาณ 4 ทุ่มก็เริ่มปวด เอ๊ะมันเป็นไรไม่ทราบ ปวดกลางวันไม่ปวด ต้องปวดกลางคืน แล้วก็เริ่มปวดหนักขึ้น แฟนก็ดูหนังเล่นเกมไป ขนาดปวดๆนี่ตอนสามทุ่มยังชวนกันกินทุเรียนอีก พอปวดหนักขึ้นก็เริ่มไปนอนตัวงอแล้ว น้ำตาเริ่มไหล มาสคาร่าเลอะเทอะ ความกลัวจากการผ่าคราวที่แล้วเข้ามาแทรกซึม จนแฟนเข้ามาเห็นตกใจใหญ่ เพราะชีเล่นตัวงอกุมท้องร้องให้ไม่หยุด มันปวดหนักๆเหมือนใครเอาอะไรมากดท้องไว้ ใจจะขาด แล้วแฟนก็โทรหาหมอ หมอบอกให้ไปโรงพยาบาลด่วนเลย

ไปถึงก็เข้าห้องฉุกเฉิน นั่งตัวสั่น หน้าซีด ขอแต่ยาแก้ปวด แต่พยาบาลไม่ให้ บอกว่ามันจะไปบดบังอาการ แต่คนมันจะตายแล้วนะ เหงื่อแตก หมดอาลัยตายอยาก ความรู้สึกคือมันหนักกว่าคราวที่แล้วมาก จะเอาชีวิตรอดไหม สักหน่อยพยาบาลก็เข็นไปอัลตราซาวด์ มีหมอสูติมาทำให้ หมอก็สอดเครื่องมือเข้าไป ยิ่งย้ำยิ่งเจ็บปวดไปกันใหญ่ เราก็นอนครวญคราง ทรมานอย่างนั้น ไม่เคยทุกข์อะไรขนาดนี้ เสร็จแล้วเค้าก็เข็นกลับมาฉุกเฉิน ก็ยังให้ยาแก้ปวดไม่ได้อีก จนกว่าหมอเวรจะคุยกับหมอเจ้าของไข้เสร็จทางโทรศัพท์ แฟนก็น้ำตาไหลโทรไปบอกพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะบินมาหาวันรุ่งขึ้น ไอ้เราก็เรียกพยาบาล ขอแต่ยาแก้ปวด พยาบาลก็ไม่ให้สักที บอกแต่ให้หายใจลึกๆ อย่าหายใจถี่ๆ กว่าพี่จะตัดสินใจให้เพทธิดีนก็ปาไปโน่น ตี 2 เป็นยาแก้ปวดแบบรุนแรง พอพยาบาลฉีดปุ๊บอย่างกับส่งมาจากสวรรค์ ความปวดค่อยๆหายไป พร้อมกับอาการสบายตัวลอยง่วงนอน จนถึงกับลืมหายใจไปเลยทีเดียว แล้วเราก็หลับไป แต่ต้องคอยปลุกตัวเองเพราะมันชอบลืมหายใจอยู่เรื่อยๆ กว่าจะได้เข้าห้องพักก็ตีสาม เข้าไปนอนต่อพร้อมกับสายออกซิเจน

วันถัดมาประมาณ 9 โมงเช้าก็เตรียมเข้าห้องผ่าตัด ที่เค้าไม่สามารถทำอะไรเมื่อคืนเพราะต้องรอให้งดข้าวงดน้ำจนถึงระยะปลอดภัย ไม่งั้นผ่าตัดไปอาจสำลักได้ พอ 10โมง หมอก็มา เลยบอกหมอว่า หมอ หนูอยากมีลูก ที่พูดนี่คือกลัวหมอเอาอะไรออกไป เดี๋ยวมีไม่ได้ เตือนหมอไว้ก่อน แล้วก็เข้าไปผ่าตัด เข้าไปในห้องผ่าตัดอยู่ดีๆก็หลับไปเลย งงว่าหมอทำอะไรตอนไหน ไม่เห็นฉีดอะไรเข้าเส้นเหมือนคราวที่แล้ว เข้าไปผ่าอยู่ 4 ชั่วโมง ออกมาพักข้างนอก 2 ชั่วโมง กว่าจะกลับห้องก็ 4 โมงเย็น ตอนนั้นพ่อแม่มารอแล้ว แล้วก็พักที่โรงบาลหนึ่งคืน วันถัดมาก็ลุกขึ้นเดินได้ปร๋อเลย อาบน้ำได้ตามสบาย มันดีกว่าผ่าตัดใหญ่มาก หมอเจาะไป 4 รู รูละ 1 เซ็น กำลังน่ารักทีเดียว นอนโรงพยาบาล 2 คืน หมดค่าใช้จ่ายไป แสนกว่า แต่... บริษัทออกให้ ฉลองแผนประกันสุขภาพใหม่เป็นคนแรก ได้จ่ายเองวันนั้นอยู่ 90 บาท ค่าน้ำสองขวด

พอถึงวันนัด เช็คแผล หมอก็ให้ภาพดูสิ่งที่หมอเอาออกมา ซีสต์อะไรไม่รู้น่าเกลียดจริงๆ แล้วหมอก็ฉีดดูท่อนำไข่อีกข้าง ไม่ตัน ยังใช้การได้ หมอรับประกันอีกนะว่า อีกนานกว่ามันจะกลับมาอีก แต่ขอสารภาพว่าหน้ามืดตอนเลาะพังผืด เพราะมันเยอะมาก แถมผนังหน้าท้องยังหนา อุดมไปด้วยไขมัน รบกวนช่วยลดน้ำหนักด้วย ต่อจากนี้ไป หมอให้เวลา 6เดือน ถ้ายังไม่มีลูก เราค่อยคุยกันเรื่องวิธีที่ไม่ธรรมชาติ ตอนนี้ลองแบบธรรมชาติไปก่อน

จบเรื่องแล้ว ที่เขียนมาเล่าให้ฟังยาวๆนี่ สุดท้ายคือจะบอกกับหญิงสาววัยรุ่นทั้งหลายว่า จงใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเอง ถ้ามีความรู้สึกผิดปกติ ปวดท้องประจำเดือนมาก หรือเจ็บท้องน้อยไม่ทราบสาเหตุ ให้ไปอัลตราซาวนด์ หาหมอ ให้อยู่ในความดูแลของหมอ ไม่ใช่รอให้มันถึงจุดอันตรายแล้วค่อยไปเสาะหา บางทีมันเสียโอกาส เจ็บตัวปล่าวๆ ถ้ารู้ก่อนอาจจะใช้ฮอร์โมนรักษา ค่อยๆดูแลกันไป ไม่ต้องถึงขนาดผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ดีกว่าปล่อยปละละเลย ไม่รู้อะไรเลย รอจนมันรุกรามทำให้ข้างในเราพังต้องยกออกไปทั้งหมดก่อน เมื่อนั้นจะหมดโอกาสมีลูก แล้วคุณจะรู้สึก สุดท้ายนี้ อยากจะบอกคนที่กำลังเป็นอยู่ว่า ใครที่เป็นซีสต์ตัวนี้ แล้วคิดว่าจะมีลูกไม่ได้ หรือมียาก ความหวังยังมีค่ะ โปรดติดตามตอนต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2549

ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน

ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน 24/11/2550

เมื่อสักประมาณกลางเดือนตุลาที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่นอีกครั้งหลังจากที่เคยไปมาแล้วรอบหนึ่ง รอบแรกที่ไปเป็นเส้นทางฮิต โตเกียว – โอซาก้า บางคนอาจจะไปโอซาก้า-โตเกียว มันก็คือๆกันนั่นแหละคะ แค่ย้อนเส้นลงมาแค่นั้นเอง เส้นทางที่ว่านี่มันเบเบ รู้จักศัพท์วัยรุ่นกันไหม เบเบย่อมาจากเบสิค ธรรมดาๆ ใครๆก็ไป เส้นทางที่ไปครั้งใหม่นี่คือ ฮิโรชิม่า ฟูกุโอกะ ถ้าเปรียบกับเมืองไทยอ่ะนะคะ ก็เหมือนกับรอบก่อนเรามาเที่ยวภาคกลาง รอบต่อมาอาจจะมาเที่ยวภาคใต้ ถ้าชอบจริงๆเดี๋ยวมาใหม่ก็ไปภาคเหนือ แต่ละภาคเค้าก็มีสถานที่หรือของขึ้นชื่อของเค้าเหมือนกัน

ทริปที่ไปป็นทริปลาวแตก มีแต่ไทยอุดรทั้งนั้น ลูกทัวร์คนอื่นได้ฟังเสียงในฟิล์มกันจนแทบจะพูดได้เลยล่ะ เรียกว่าเป็นทริปคนกันเอง เราบินไปกับบางกอกแอร์เวย์ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เพื่อไปลงที่ฮิโรชิม่า พอเครื่องบินจะร่อนลงนะคะคุณ คือแบบว่าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิตไง กัปตันบอกเราจะลงแล้วนะครับ แต่สิ่งที่เห็นข้างล่างคือภูเขาหลายๆลูกเรียงสลับกันไปสุดลูกหูลูกตา คือไม่ใช่พื้นที่แบบราบเรียบแห้งแล้ง แต่นี่มันคือภูเขาเขียวๆทั้งนั้น แล้วเครื่องบินก็บินใกล้มาก เอาว่าแค่เห็นก็การันตีได้แล้วว่าข้างล่างอากาศดีแน่นอน

ฮิโรชิม่าเป็นเมืองเล็กๆอ่ะนะคะ อย่างที่หลายคนคงทราบคือ เป็นเมืองที่โดนนิวเคลียร์ บอมบ์จนราบพนาสูญมาก่อน ทุกวันนี้ทุกอย่างค่อนข้างฟื้นฟูกลับมาหมดแล้ว แต่ผลจากการบอมบ์ในอดีตก็ยังทิ้งร่องรอยไว้ให้คนรุ่นปัจจุบันได้รู้สึกกันอยู่ วันแรกที่เราไปจะอยู่ในเมืองฮิโรชิม่ากัน ทัวร์ก็พาไปที่สวนสันติภาพ ไปดูซากตึกที่เค้ายังเก็บไว้ คือโดนบอมบ์แล้วเหลือยังไงก็เก็บไว้ให้ดูอย่างนั้น มีอนุสาวรีย์รูปเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ใครอยากรู้ว่าทำไมนกที่เราพับๆจึงสื่อถึงเรื่องสันติภาพก็มาจากเด็กคนนี้นี่แหละ คือเธอโดนรังสีจากนิวเคลียร์ แต่รอดมาได้ ไม่ได้ตายทันที ถึงอย่างนั้นหนูน้อยคนนี้ก็ต้องทนทุกข์จากรังสีที่ได้รับ แล้วก็เกิดความเชื่อว่า การพับนกให้ได้หลายๆตัว จะช่วยให้เธอรอดพ้นจากความทุกข์ทรมาน เธอก็พับไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเธอก็ตาย ทางการเลยสร้างอนุสาวรีย์ไว้เพื่อระลึกถึงเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ต้องมาตายเพราะสงคราม ทุกวันนี้หลายๆโรงเรียนจะจัดทริปให้เด็กๆไปชมสวนสันติภาพ แล้วก็ปลูกฝังให้รักในสันติ ต่อต้านสงคราม เพราะคนที่นี่เค้าได้รับผลโดยตรง เด็กๆก็จะไปกันเป็นกรุ๊ปใหญ่ๆ มีเด็กออกมาพูดหน้ากลุ่ม มีเด็กออกมานำร้องเพลง มีพับนกเป็นพวงๆมาวางไว้หรือห้อยไว้ที่นี่ สวยมากๆ

แล้วกรุ๊ปเราก็มีโอกาสได้เข้าไปดูวีดีโอ แหมมันช่างหดหู่ แต่ก็ดูนะ ภาพบางภาพยังติดตาทีเดียว เค้าก็ฉายให้ดูสมัยเมื่อยังเป็นเมืองสวยๆ จนสหรัฐสั่งบอมบ์ ที่เลือกเมืองนี้เพราะอยู่ไกลจากเมืองใหญ่ และประชากรยังไม่มาก เอาแค่พอสั่งสอน ไม่ได้อยากฆ่าแกงกันให้ตายทั้งประเทศ เพราะคนที่โดนก็ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ นิวเคลียร์ลูกนั้นชื่อ “ลิตเติ้ล บอย” พอทิ้งลงมาจากฟ้า เมืองทั้งเมืองก็ราบ บนแม่น้ำมีปลาตายพร้อมกับศพลอย บางคนที่ไม่ตายก็เดินเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เลือดอาบตัว บางรายก็เป็นแผลเหวอะหวะน่ากลัว แต่ยังไม่ตาย แล้วคุณรู้มั้ย กว่าพวกฝรั่งจะเข้าไปเคลียร์พื้นที่ คือสั่งบอมบ์เสร็จแล้วเข้าไปวิจัยต่อนี่ก็คือหนึ่งเดือนให้หลัง ช่วงหนึ่งเดือนก่อนนั้นพวกรอดตายเค้าอยู่กันยังไงล่ะ ผลจากการโดนนิวเคลียร์มีทั้งที่เกิดทันทีกับที่ค่อยๆเกิด คนที่รอดตายจากเหตุการณ์บางส่วนค่อยๆล้มตายลงอย่างช้าๆหลังจากนั้นไม่นาน เพราะรังสีเข้าไปทำลายระบบหลายอย่างข้างในร่างกายมนุษย์ เหมือนค่อยๆฆ่าให้เค้าตายลงอย่างช้าๆ ลูกหลานบางส่วนต่อๆมาก็ยังมีปัญหาเรื่องโรคลูคิเมียอยู่ คนที่นี่เลยต่อต้านการทำสงครามอย่างหนัก

เป็นไงล่ะ เครียดใช่ไหม อะแหม... พอแค่นี้ก็แล้วกันนะคะ จะได้ไม่เครียด เดี๋ยวพูดเรื่องอื่นๆต่อ แต่จะไม่ขอเล่าเรื่องทริป 5 วันนี่ทั้งหมดหรอกนะคะ จะเล่าเป็นหัวข้อๆไปดีกว่า เรี่องต่อไปมาเรื่องวัด ไปญี่ปุ่นก็ต้องไปวัด รู้ตั้งแต่ทริปเบเบครั้งแรกแล้วว่าเป็นยังไง วัดที่นี่ก็สวยงามดี มีการอนุรักษ์ไว้ดี แต่ไม่ได้เจิดจรัสวิบวับเหมือนวัดบ้านเรา แต่ละวัดก็มีความดังแต่ละเรื่อง เช่น วัดนี้ดังเรื่องขอลูก วัดโน้นดังเรื่องสติปัญญา อย่างวัดที่ดังเรื่องว่าขอให้มีสติปัญญาดี เรียนเก่ง พวกพ่อแม่ก็จะพาลูกๆมา คงเป็นประเพณีเค้าอ่ะนะคะ หลายคนเอาผ้าสวยๆห่อเด็กทารกมาเลย ส่วนเด็กโตมาสักหน่อย ก็จะแต่งชุดกิโมโนมา น่ารักมากๆ ขนาดคนญี่ปุ่นเห็นยังกรี๊ดกร้าดเด็กๆกันใหญ่ วัดพวกนี้ก็เหมือนวัดไทย คือมีเครื่องรางของขลังขายเป็นแผง แต่ของเค้าจะเป็นไรที่โนะเนะ เป็นถุงผ้าสวยๆไว้พกเวลาไปสอบอะไรอย่างงี้

แต่สำหรับคนไทย วัดไหนก็เหมือนกัน แล้วทุกวัดของญี่ปุ่นก็จะมีแพทเทิร์นเหมือนกันหมด คือ 500 กิโลเมตรก่อนถึงทางเข้าวัด จะเต็มไปด้วยร้านรวงขายของที่ระลึก ขนม ตุ๊กตา มากมาย ใจของนักเที่ยวไทยมักไปไม่ถึงวัด เผลอนิดเผลอหน่อยก็จะแวบเข้าร้านให้ได้ เข้าใจว่าหลายคนคงต้องสะกดกลั้นอย่างมาก มันต้องใช้ความอดทนขั้นสูงทีเดียว แต่ก็ต้องเดินเข้าวัดไป เพราะเรามาเที่ยววัด เวลาที่ทัวร์ให้ 45 นาที หมดไปที่วัด 15 นาที อีก 30 นาที ตามได้ที่ร้านรวงหน้าวัด ส่วนใหญ่แล้ว 30 นาทีมักจะไม่พอ ขอต่อเวลาอีกสัก 15 นาที ญี่ปุ่นเค้าก็ฉลาดนะ เพราะของน่าซื้อส่วนใหญ่ก็อยู่ที่หน้าวัด แล้วทุกที่ต้องมีร้านคิตตี้ คาดว่าจะเป็นแมวเศรษฐกิจของญี่ปุ่น นอกจากแมวกวักแล้วก็มีแมวคิตตี้นี่แหละที่สร้างจีดีพีให้กับประเทศ ประเทศไทยควรจะสร้างแบรนด์แมวสีสวาทหรือแมววิเชียรมาศบ้างเพื่อมาชนกับแมวคิตตี้ของญี่ปุ่น

พูดเรื่องของซื้อของขายแล้วก็ต้องพูดเรื่องผลไม้ ผลไม้ที่นี่อร่อยล้ำ เพราะดินส่วนใหญ่มีแร่ธาตุชั้นดี เหมือนจะเป็นดินภูเขาไฟ ลูกพลับลูกละ 150-300 เยน อร่อยแทบน้ำตาไหล ใครไปญี่ปุ่นแนะนำให้เอามีดปอกผลไม้ใส่กระเป๋าใหญ่โหลดไป แหมมันอร่อยทุกอย่าง ทั้งลูกพลับ สาลี่ แอปเปิ้ล ขนาดสับปะรดยังอร่อยเลย มีเมล่อนอีก องุ่นบางพันธ์กินแล้วอย่างกับกินไวน์ กัดเข้าไปคำนึงแหม...มันไวน์ดีๆนี่เอง พอกลับมาเมืองไทยอยากกินลูกพลับญี่ปุ่น โอ้โห ลูกละ 299 บาท ราคามันช่างต่างอะไรอย่างงี้ ไปคราวหน้าจะไม่ลืมเอามีดไปเลยพับผ่าสิ เจ๊เซ็งตัวเองมาก จะกินให้มันได้สักวันละ 3 ลูก

นอกจากวัดแล้วเราก็ไปสวนสนุกชื่อ เฮาส์เทนบอช เหมือนเอายุโรปมาไว้ที่ญี่ปุ่น สวยมาก สวยอย่างแรง แต่ไม่ได้มีเครื่องเล่นผาดโผนอย่างยูนิเวอร์แซลหรอกนะคะ มีแต่อันประถมๆ ไม่ได้ใจหรอก ไปนี่ก็ไปดูวิว เค้าทำไปได้นะ ทุกอย่างเหมือนยุโรป สวยงาม ร้านรวงมากมาย ดอกไม้เต็มทุ่ง ใครไปแถบนี้อย่าลืมไปดูกันให้ได้

มีที่เที่ยวอีกที่หนึ่งที่ทริปไหนๆก็ต้องแวะไปนั่นคือปราสาท ญี่ปุ่นคงมีโชกุนเยอะ เลยมีปราสาทแยะ แต่โดยรวมการสร้างปราสาทของญี่ปุ่นก็คล้ายๆกัน คือมีคูน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบ มีการก่อกำแพงหินขนาดใหญ่ แล้วก็กว่าจะไปถึงตัวปราสาทได้ก็ต้องเดินกันหงิกทีเดียว เข้าใจว่าโชกุนสมัยก่อนต้องสู้รบกันอยู่บ่อยๆ เลยต้องมีปราสาทไว้ป้องกันตัวเองด้วย แต่ที่ไม่ชอบอย่างคือปราสาทส่วนใหญ่ เวลาเข้าไปข้างในแล้วมันไม่เหมือนเดิม ไม่ค่อยเหมือนปราสาทที่ยุโรปที่ยังมีเฟอร์นิเจอร์ของแต่ละห้องไว้ครบชุด ขนาดห้องครัวยังอุตส่าห์ปั้นไก่ ปั้นขาหมูไว้ให้จินตนาการ เคยไปปราสาทที่อังกฤษ ขนาดส้วมของพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด เรายังเห็นเลยว่าเค้านั่งกันยังไง เตียงที่ใช้บรรทมนี่ตกลงมาอาจคอหักตายได้ เพราะสูงโพดสูงเหลือ แต่ที่ญี่ปุ่น ข้างในปราสาทเค้าจะเอารูปๆมาวาง เอาโน่นเอานี่มาจัดแสดง เลยไม่สามารถจินตนาการได้ว่าแต่ก่อนอยู่กันยังไง ต้องกลับมาดูอิกควิวซังแล้วค่อยนึกภาพเอา ประมาณนั้น

จะว่าไปเส้นทางที่ว่าถ้าเทียบกับโตเกียว-โอซาก้าแล้ว ความสนุกอาจจะไม่เท่าเส้นทางโน้น เพราะอันนั้นมีทั้งดิสนีย์แลนด์ ทั้งยูนิเวอร์แซล ได้เข้าไปอยู่เมืองหลวง เห็นคนแบบเมืองกรุง จริงๆแค่สวนสนุกมันก็กินขาดไปแล้ว แต่ฟูกุโอกะกับพื้นที่แถบนี้จะเป็นแบบลูกทุ่งๆ ถึงฟูกุโอกะจะเป็นเมืองใหญ่ของเขตนี้ แต่ความหลากหลายอะไรมันก็น้อยกว่า เหมือนเที่ยวอิสานกับเที่ยวกรุงเทพนั่นแหละ ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เราต้องยอมรับแล้วก็อยากให้มีในบ้านเราคือ อากาศ ภูมิประเทศ ความสะอาด ความเป็นระเบียบ แล้วก็ห้องน้ำ (โดยเฉพาะห้องน้ำในโรงแรม)

เอาเรื่องอากาศก่อนแล้วกัน อากาศที่นี่ดี้ดี สูดหายใจเข้าได้เต็มปอดตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ยกเว้นกลางถนน อากาศเค้าดีจริงๆนะ อยากจะเก็บใส่กระป๋องเอามาสูดต่อ ดีต่อสุขภาพมากๆ ช่างต่างจากกรุงเทพราวฟ้ากับเหว เหมือนประเทศนี้จะไม่มีปัญหาเรื่องโลกร้อนเลย แต่พ่อบอกว่า ญี่ปุ่นนี่แหละตัวดี สร้างมลภาวะปีนึงๆไม่รู้เท่าไหร่ ก็พี่แกเล่นผลิตรถออกขายปีละกี่สิบล้านคันล่ะ นอกจากขายประเทศตัวเองแล้วยังเผื่อแผ่เค้าไปทั่วโลกอีก เอ่อ มันก็จริงนะ

ส่วนเรื่องภูมิประเทศที่อยู่ หรือแม่น้ำลำคลอง อันนี้ก็หายห่วง ยังล้าหลังคลองแสนแสบอยู่มาก กว่าจะพัฒนาได้อย่างคลองแสนแสบคงต้องรออีกสัก 100 ปีสำหรับญี่ปุ่น ที่นี่ไม่ว่าคลองไหน แม่น้ำอะไรก็ดูสวยใสสะอาด ริมถนนมีต้นไม้ใหญ่ ยิ่งหน้าซากุระนี่ก็จะสะพรั่งไปทั้งเมือง พอปลี่ยนฤดูปลายปี ใบไม้ก็จะป็นสีแดง นักท่องเที่ยวเลยนิยมไปเที่ยวประเทศนี้อยู่สองช่วง คือช่วงดอกซากุระบานต้นปี กับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีปลายปี เรื่องขยะอะไรนี่ก็ไม่ค่อยมี เค้าดูแลกันดีมาก แล้วที่เห็นว่าภูมิประเทศมีภูเขาหลายลูกยังไงตอนอยู่บนเครื่องบิน ลงมาข้างล่างก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่นะ ตอนแรกคิดว่ามิต้องนั่งรถอ้อม หรือไม่ก็ข้ามภูเขากันอ้วกแตกเลยเหรอ แต่เปล่าเลย ญี่ปุ่นเค้าขึ้นชื่อเรื่องเจาะอุโมงค์รอดภูเขา เห็นภูเขาลูกไหนเป็นรถวิ่งผ่านได้หมด แกเลยมาช่วยเจาะทำรถไฟฟ้าใต้ดินให้เมืองไทยไง

ใครที่เคยไปเมืองจีนคงนึกสะพรึงกลัวเรื่องห้องน้ำ แต่มาที่ญี่ปุ่นนี่ไม่ต้องคิดมากเลย ห้องไหนก็เข้าได้ อย่างเลวที่สุดคือมีกลิ่น แต่ข้างในสะอาด ชอบส้วมแบบที่เข้าไปแล้วนั่งยองๆ ไม่ต้องขึ้นคอห่านที่ยกพื้นขึ้นมา ของที่นี่คอห่านฝังดิน น้ำเวลาเราชักโครกก็ออกมาเต็มที่ ไม่ต้องเหลือร่องรอยอะไรไว้ให้คนต่อไปได้ดูต่างหน้าเลย แต่ที่เด็ดสุดนี่คือห้องน้ำในโรงแรม ที่โรงแรมห้องน้ำเป็นแบบเลือกโหมดได้ แถมฝารองนั่งยังมีระบบอุ่นตูดอัตโนมัติ คือนั่งแล้วตูดอุ่น สบายนะ เมืองหนาวนี่ถ้าเจอที่รองนั่งเย็นอีกคงเกิดอาการสะเดิด นี่นั่งไปแล้วอุ่นๆก็เอ้อ...นั่งแล้วไม่อยากลุก พอเสร็จกิจก็มีปุ่มน้ำพุ่งชำระล้างให้เลือก ผู้หญิงต้องปุ่มนี้ ผู้ชายต้องอีกปุ่ม มีระดับความแรงของน้ำให้ปรับ เห็นอาอึ้มเค้าเทสต์กดน้ำ โอ้โห น้ำพุ่งติดเพดาน อะไรจะแรงขนาดนั้น แต่เรื่องชักโครกนี่ต้องบอกแม่ แม่ชอบและเชี่ยวชาญมาก เห็นว่าที่ทูลโปรพลัสก็มีขาย ใครอยากเอาไปติดตั้งที่บ้านก็ไปเลือกซื้อหากันได้ตามสะดวก

ไปญี่ปุ่นกลับมาก็ต้องมีของฝาก ผู้คนอย่างเราๆท่านๆมักจะไปเสียผีกันในซุปเปอร์มาเก็ต ต่อให้ไม่ชอปยังไง พอเข้าซุปเปอร์แล้วเป็นต้องหอบกันพะรุงพะรัง เพราะของเค้าน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ เท่าที่ประมวลมาจากญาติพี่น้องได้ ของท็อปฮิตที่มักจะซื้อกันคือ ชาข้าวญี่ปุ่น กาแฟ ผงโรยข้าว หมากฝรั่ง ข้าวเกรียบคาลบี้ ปีอกกี้รสประหลาด บางคนกวาดสาหร่ายเขียวๆไปทำซุป ขนมกรุบกรอบ เค้าว่าคาลบี้ที่นี่ใส่ผงชูรสน้อยกว่าที่ไทย เลยกวาดกันมาซะเกลี้ยงชั้นเลยทีเดียว

นอกจากของกินแล้วก็จะเป็นเรื่องของเครื่องสำอาง สบู่ แชมพู ยาสีฟัน ยาประเภทต่างๆเช่นคลายกล้ามเนื้อ คลายปวดเมื่อย เครื่องสำอางอย่างชิเชโด้ก็ถูกกว่าเมืองไทยมาก

แต่ถ้าของฝากข้างนอกก็ต้องเป็นเรื่องของโอทอป และสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้นคือแป้งห่อถั่ว หรือถั่วห่อแป้ง คนเขียนคนนึงล่ะไม่ชอบ แต่ถ้าเป็นแป้งห่อมันเทศทำใหม่ๆ อันนั้นต้องขอยกเว้น กินลืมตาย ถ้าไปทางสายโตเกียวก็อาจจะเป็นพายปลาไหล นั่นก็กินลืมตายเหมือนกัน มีหลายคนที่ซื้อตุ๊กตาญี่ปุ่นกลับมา เพราะหน้าเธอกลมมนเหมือนกับเปลือกไข่อันนวลเนียน บางคนก็อาจจะซื้อแมวกวัก นกฮูก แรคคูน สัตว์แต่ละตัวมีความหมายแต่ละอย่างสำหรับคนแถวนี้ ส่วนคนเขียนก็เอาแต่คิตตี้ โดเรมอน เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่โตไง

แต่มีของฝากอยู่ลอตนึงที่พลาดไม่ได้เลยนะ คือพวกของฝากที่ขายกันในรถทัวร์เนี่ยล่ะคะ ไกด์จะเป็นคนเอามาขายเอง คงเป็นบริษัทที่ผลิตเพื่อลูกทัวร์โดยเฉพาะ อย่างถั่วพิทาชิโอ กินได้ไม่หยุด เป็นซองสีเขียวๆ กับที่ฮิตมากๆคือทาโร่ไส้งา ขนมอะไรอร่อยอย่างกับต้องมนต์ ใครกินเป็นหมดถุง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเจรจากับไกด์นะ ไกด์บางคนอาจจะไม่บอกไงว่า มี เดี๋ยวจะพลาดของดีๆไป

เรื่องสุดท้ายมาพูดเรื่องอาหารการกินมั่งดีกว่า หลายคนคงถูกใจอาหารญี่ปุ่น ถ้าไปยุโรปนี่ยอมอดตายกันไปข้าง เพราะอาหารไม่โดนปากอย่างแรง แต่ญี่ปุ่นนี่ถึงไหนถึงกัน เค้ามีทั้งย่าง ต้ม อาหารพื้นเมืองคล้ายๆเทปันยากิ แต่ที่นี่เค้าเรียกโอโนมิยากิ (ถ้าผิดก็ขออภัย) มันจะเป็นโต๊ะ ข้างหน้าเราเป็นเหมือนที่เค้าไว้ทำขนมโตเกียวหน่ะ แต่เป็นแผ่นเหล็กร้อนๆอย่างนั้นรอบโต๊ะ เค้าก็จะทำอาหารให้เราดูข้างหน้า แล้วก็เอามาเสิร์ฟข้างหน้าเลย อาหารก็จะร้อนตลอดเวลา แต่มื้อที่ถูกใจจ๊อดสุดก็คือมื้อสุดท้าย เป็นปูยักษ์ ใครไปญี่ปุ่นให้เลือกทัวร์ที่พาไปกินปูยักษ์ด้วยนะ ไม่งั้นเสียเที่ยว ตอนไปโตเกียวก็ได้กินแบบไม่อั้นในโรงแรม แต่มาที่ฟูกุโอกะได้กินในร้าน ถึงมีจำกัดแต่ก็กินกันแทบจะไม่หมดอยู่แล้ว ใครปากดีหาว่าเค้าให้น้อยนี่ต้องลองกินกันก่อน เห็นสุดท้ายต้องมานอนผึ่งพุงกันทุกราย เนื้อปูยักษ์ที่นี่หวานมากๆ กินแล้วละลายหายไปในปากได้ ใครจะเชื่อ ต้องไปลองเองแล้วจะรู้ว่าจริง อร่อยล้ำ อย่าลืมบีบมะนาวลูกเหลืองๆลงไปนิดๆนะคะ แซบ ปกติในครอบครัวเรามีแม่เป็นมนุษย์กินปู แม่จะห้ามจิตห้ามใจไม่อยู่กวาดปูเรียบจนเค้าเอาโถเปลือกปูไปเทสองรอบก็แล้ว สามรอบก็แล้ว มนุษย์กินปูก็ยังกินได้ต่อไป การันตีว่าอร่อยจริง

ญี่ปุ่นนี่เสียอย่างเดียวนะ คือพูดภาษาอังกฤษกันไม่คล่อง ไม่งั้นจะเที่ยวกันง่ายกว่านี้ แล้วพี่แกก็ยืนยันจะพูดญี่ปุ่นอยู่อย่างนั้น ตูไม่รู้เรื่องก็ยังจะโนะเนะอยู่ ฉันล่ะงง จนสุดท้ายต้องใช้ภาษามือสื่อสุดฤทธิ์ กว่าจะได้ของแต่ละอย่าง อย่างอื่นก็ดี น่าเที่ยว เป็นประเทศที่มีเสน่ห์ในตัวเองอย่างเหลือเชื่อ ใครไปแล้วต้องอยากไปอีก เพราะมันน่าประทับใจ นี่เห็นคุณพ่อคุณแม่ร่ำๆว่าอยากไปฮอกไกโด โดยได้รับอิทธิพลมาจากแดน บีม สองคนนี้ทำรายการเที่ยวแล้วไปมา เลยอยากไปแบบแดนบีมมั่ง คนนึงอยากไปธันวา อีกคนอยากไปกุมภา ลูกเลยตัดสินให้ไปกุมภาสะ ไปทำไมธันวา หนาวตายเลย หนาวมากมันสนุกเสียเมื่อไหร่ ใช่มะ ใครอยากไปไปขอสมัครเป็นลูกทัวร์ได้ แต่ตอนไปตัวใครตัวมัน ดูแลกันเอง ตายายเค้าจะสวีทกัน....

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2549

ฟิตเนสช่างตื๊อ

ฟิตเนสช่างตื๊อ 20/9/2550

สวัสดีค่ะ มาพบกันอีกแล้วนะคะ เล่มที่แล้วเขียนไปยังไม่เท่าไหร่ เล่มใหม่ก็โดนทวงต้นฉบับเสียแล้ว ว่าแต่...เล่มที่แล้วเป็นไงมั่งคะ สะใจกันรึเปล่า ทุกวันนี้ยังประหลาดใจอยู่เลย เพราะเขียนฉบับนั้นออกมาได้อย่างกับผีสิง สงสัยเล่มนี้ต้องเริ่มมาบิลด์กันใหม่ คิดว่าอีกสักสองย่อหน้า ผีก็คงจะสิงเหมือนเดิม

ฉบับนี้จะมาเล่าให้ฟังกันเรื่องการออกกำลังกาย อืมมมม แค่เห็นหัวข้อก็แทบจะพลิกกระดาษหนีแล้วใช่ไหมล่ะเธอ ไอ้เรื่องการออกกำลังกายเนี่ยนะ สำหรับบางคนมันก็เหมือนสวรรค์ ได้เห็นเหงื่อออกท่วมตัวยิ่งเหมือนบรรลุ แต่สำหรับบางคนที่เกลียดการออกกำลังกายเข้าไส้ล่ะก็ มันก็คือนรกดีๆนี่เอง จะเอาช้างมาฉุดให้ไปออกก็ไม่ออก ขอให้ได้นอนอยู่บ้านเสียยังจะดีกว่า

ส่วนตัวเหรอคะ เป็นกลุ่มกลางๆ คือไม่ถึงกับเกลียดแล้วก็ไม่ถึงกับเลิฟขนาดขาดไม่ได้ ในชีวิตเคยออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงก็ตอนก่อนจะแต่งงาน โอ้โห อย่างกับบียอนเซ่ประทับร่าง พฤติกรรมเหมือนดาราฮอลลีวูด เช้าๆนะคุณ ตื่นมาตอนตีห้ายี่สิบ แต่งตัวแล้วลงมาหาพระมารดา ซึ่ง ไม่ชอบการรอคอยและแสงสว่างยามเช้า เช้าใดลงมาแล้วมีแสงสว่างจากฟากฟ้า เธอจะกริ้วมาก เหมือนแดรกคูล่า เสร็จแล้วก็จะขับรถไปหนองประจักษ์ ซึ่งก็จะมีสองสาวสุดสวยตามมาสมทบอีกจากหมู่บ้านไพลิน บางครั้งก็มีหนุ่มหล่อว่าที่คู่ตุหนาหงันมาร่วงวงไพบูลย์นี้ด้วย แล้วเราทั้งหมดก็วิ่งอย่างบ้าระห่ำวันละ 1 รอบ ซึ่งก็แน่นอน สาวๆอย่างเรา ไม่เคยวิ่งแซงแม่ได้สักที แม่เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เกิดมาเพื่อการออกกำลังกาย เราและน้องสาวได้แต่ให้เหตุผลว่า เราต้องการเบิร์นไขมัน ดังนั้น เราไม่ต้องการวิ่งให้เร็ว เราต้องการวิ่งช้าๆ เพื่อให้ร่างกายได้เบิร์นแคลอรี่ได้นานๆ มีน้องสาวคนหนึ่งวิ่งเร็วกว่าเพื่อน ชีไปไกลมากอย่างเหลือเชื่อ แทบจะวิ่งกลับมาสมทบกับเราอีกรอบได้ เราก็ได้แต่ให้เหตุผลกับน้องสาวอีกคนไปว่า การวิ่งเร็วๆนั้น จะทำให้ขาโป่ง ใหญ่ ใครจะรู้ความจริงในใจ.... ว่าเราวิ่งไม่ทัน

แต่ผลจากการวิ่งตลอดตั้งแต่เดือนพฤศจิกา จนถึงเดือนพฤษภา ของอีกปี ผนวกกับการกินอย่างไร้สติ เช่น แอ๊ปเปิ้ลอย่างเดียวตลอด 5 วัน ( เรื่องนี้จะเล่าให้ฟังวันหลัง) ทำให้น้ำหนักลดลงไป 7 กิโล เกิดมาพึ่งเคยผอมได้ใจก็คราวนี้ รู้สึกว่าความมุ่งมั่นสัมฤทธิ์ผล แล้วก็ชอบการวิ่งที่หนองประจักษ์ตอนเช้าๆมาก อากาศก็ดี ทิวทัศน์ก็สวยงาม

แต่แล้วหลังจากนั้น ตามสถิติของชีวิตหลังแต่งงาน ร้อยละ 95 มักอ้วนขึ้นอย่างยั้งไม่อยู่ ไอ้ 7 กิโลนั่นสามารถเอาคืนมาได้ภายใน 1 ปี แถมทะลุมาอีก 3 กิโล เพราะวันครบรอบแต่งงานดันไปกินบุฟเฟต์อย่างกับตายอดตายยาก จริงๆระหว่างนั้นบางช่วงก็ออกกำลังกายนะคะ แต่โหยย...มันไม่ได้มีเป้าหมายอะไรแล้ว แฟนก็ชวนกันกิน ถ้าไม่กินอีกคนก็จะกินข้าวไม่อร่อย ปัญหาครอบครัวเลยนะ แต่อุปสรรคสำคัญที่สุดคือความขี้เกียจ ทุกวันมีแต่ข้ออ้าง โห ทำงานมาเหนื่อย อยากนอน อุ๊ยย หรือเราจะท้อง อย่าออกกำลังดีกว่า สุดท้ายเลยคิดว่าจะเอาเงินเข้าแลก ลองถ้าได้เสียเงินแล้ว มันต้องเสียดายบ้างละวะ เลยกัดฟันไปสมัครฟิตเนส และก็แน่นอน ฟิตเนสที่ว่าก็คือฟิตเนสชื่อดังที่ใครๆก็รู้จัก

นี่ละคะ ฉบับนี้เราจะมาเมาท์กันเริ่องฟิตเนส คุณคะ ตั้งแต่เกิดมาดิฉันยังไม่เคยเจอกับการสมัครสมาชิกอะไรที่ต้องใช้พลังสมองเท่านี้มาก่อนเลย ทุกนาทีมีเล่ห์กลซ่อนอยู่ ถ้าเผลอไปล่ะก็ โดนงาบแน่นอน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังเป็นช็อตๆไป วันแรกที่เดินเข้าไปสมัคร เค้ามีทีมงานเป็นฝูงเลยนะ อย่าเผลอเดินเข้าไปเชียว ร้อยทั้งร้อยแทบจะไม่มีชีวิตรอดออกมา เค้าจะให้พนักงานขายตามประกบทุกฝีก้าว ขั้นแรกเริ่มจากการตีสนิทก่อน พี่ชื่ออะไรคะ อ๋อ พี่ติ๊ก กับพี่เอ เท่านั้นหล่ะ ทั้งโปรแกรมเธอจะเรียกเราอย่างกับเราเป็นพี่น้องร่วมมารดา พี่ติ๊กอย่างงู้น พี่เออย่างงี้ เดี๋ยวน้องจะพาเข้าไปชมด้านในนะคะ แล้วเราค่อยมาคุยกัน

ก่อนอื่นจะให้พี่ทั้งสองไปวัดไขมันก่อน แล้วชีก็ให้เราไปวัดด้วยการถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปยืนบนเครื่องอะไรไม่ทราบ เครื่องนั้นจะคำนวณไขมันทุกส่วนของร่างกาย ช่วงบน ช่วงล่าง ช่วงก้น ช่วงต้นขา หุ่นดีอย่างดิฉัน มีรึจะเหลือ สะโพกดินระเบิดขนาดนี้ ผิวช่วงต้นขาเป็นลอนอย่างกับผิวส้มขนาดนี้ อย่าได้พูดถึงส้มเขียวหวานเลยนะ นี่มันขรุขระขนาดส้มโอไปแล้ว ผลไขมันออกมาถ้าไม่เกินแมกซิมั่มก็ให้มันรู้ไป ไอ้เครื่องนี้เราอ่านค่าอะไรมันไม่เป็นหรอก เรารู้แต่มันทำให้เราเสียเซลฟ์ได้ก็แล้วกัน

เสร็จแล้วน้องก็พาเราไปแนะนำเครื่องออกกำลังกายโน่นนี่ มีทุกแบบ แต่ละเครื่องใหม่ๆทั้งนั้น ขึ้นไปชั้นสองเป็นห้องโยคะร้อน ห้องออกกำลังอีกสองห้อง ห้องขี่จักรยาน ทั้งหมดที่ว่าเปลี่ยนมุมมองการออกกำลังจากหนองประจักษ์มาสู่ความศิวิไลซ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ จังหวะนั้นเราลืมบ้านนอกบ้านนาของเราเป็นปลิดทิ้ง เราพร้อมแล้วที่จะเป็นสาวเมืองกรุงอย่างเต็มตัว ฟิตเนสอะไรเนี่ย มีดีเจมาเปิดเพลงด้วย ที่ห้องน้ำก็จะมีล็อกเกอร์ มีที่อาบน้ำ มีโต๊ะเครื่องแป้ง มีไดร์เป่าผม มีสาวแก้ผ้า ข้างนอกยังมีเครื่องเล่นอีกมากมาย ดูดีกับร่างกายเสียจริง

เสร็จจากการเดินทัวร์ น้องเซลล์ก็พาเรามาเข้าโต๊ะเชือด จังหวะนี้เป็นจังหวะที่ต้องมีสติที่สุด เธอพร้อมลุย เราก็พร้อมลุยกับเธอ เซลส์เริ่มบทสนทนา เป็นยังไงบ้างคะพี่ ฟิตเนสที่นี่ เดี๋ยวน้องจะให้ผู้รู้มาอธิบายเรื่องผลการเช็คไขมันในร่างกายนะคะ เท่านั้นก็มีน้องอีกคนนึงเข้ามา อธิบายใหญ่เลย ไขมันพี่เกินงู้นงี้งู้นงี้ สรุป...ไม่มีอะไรดีในตัวกูสักอย่าง

แล้วน้องเซลส์ก็เริ่มบทบาทของเธอ
“บ้านพี่อยู่ที่ไหนคะ แล้วพี่กะว่าพี่จะมาเล่นได้อาทิตย์ละกี่วันคะ”
ดิฉันบอก “บ้านอยู่แถวนี้ค่ะ คงมาเล่นได้อาทิตย์ละสัก 3 วัน”
“งั้นน้องขอแนะนำให้พี่ติ๊กสมัครตลอดชีวิตเลย ราคาจะถูกมากนะคะ ทั้งชีวิตพี่ติ๊กจะเล่นฟิตเนสที่นี่ได้ในราคา สองหมื่นห้าพันบาท ว้าวว” เราก็คิดในใจ จะอยู่ให้มันได้คุ้มสองหมื่นห้านี่ไหม เดี๋ยวก็กลับไปอยู่บ้านนอกบ้านนาแล้ว ไหนจะมีน้องอีกหล่ะ ชีวิตคงไม่อยู่ในกรุงเทพนี่ไปจนตายหรอก ไม่เอาดีกว่า เลยปฏิเสธน้องไป น้องก็เริ่มรุกต่อ “งั้นเอางี้แล้วกันคะพี่ติ๊ก ถ้าสมัครรายปี น้องคิดเดือนละ 3500 แล้วกันคะ เราจะเก็บ 3 เดือนล่วงหน้านะคะ 3เดือนนี้ จะเป็น 1 เดือนแรก และ 2 เดือนสุดท้ายของปี” โอ้โหเหะ .... ใครคิดเรื่องพวกนี้มาเนี่ย นี่กะเลิกกลางคันไม่ได้เลยนะ ต้องอยู่ให้ครบปี ไม่งั้นเสียไอ้2 เดือนหลังนี่แน่ ดู๊ดูกุศโลบายให้อยู่ครบเทอมของเขาสิ

ว่าแล้วก็คำนวณติ๊กต่อกๆ 3500 สองคนก็ 7000 โห จะไหวเหรอ พอน้องแกเห็นเราทำหน้าเหมือนจะรับไม่ได้ก็ลงให้เป็นอีกสเต็ปเลยนะ “เอางี้แล้วกันคะพี่ ราคาส่วนตัว น้องลดให้คุณพี่อีก เป็น 2500 เนตๆ โอเคมั้ยคะพี่ ราคาส่วนตัว คุยกันอย่างพี่อย่างน้องเลยนะ” ดิฉันก็อึ้งสิ แหม แค่ทำหน้าว่าตัดสินใจไม่ได้ก็ลดแล้วเนี่ยนะ เลยนั่งทำหน้าตัดสินใจไม่ได้ต่อไป ทำหน้าแบบ ตูมีเงินนะ แค่ตูไม่ตอบตกลงแค่นั้น “อืมมม น้อง พี่ว่าเอาราคาเนตๆมาเลยดีกว่า ราคาที่พี่จะไม่ต่อหน่ะมีมั้ย ให้เลขมันสวยกว่านี้หน่อย เอาแบบน้องไม่ต้องลดอีกหน่ะมีรึเปล่า” “ อย่างงั้นเหรอคะพี่ งั้นเอางี้ พี่สองคน คนละ 2000 แล้วกันเป็นไง โอเคมั้ยคะ ลดสุดๆ” อ้าว อีนี่ เมื่อกี้ราคาอย่างพี่อย่างน้อง แล้วนี่มันราคาอย่างพ่ออย่างแม่หรือไร ทำไมลดลงได้อีก ในใจก็แบบ เอ่อๆ โอเคละวะ สองพันก็สองพัน พอรับได้ สองคนสี่พันก็พอเจียดๆ เลยหันไปจะตอบเซย์เยส ทันใดน้องก็พูดขึ้น “ เอ๊ะ เอางี้ดีไหมคะพี่ พอดีน้องมีโปรโมชั่นช่วงเมษาที่พึ่งหมดไป เป็นโปรโมชั่นคู่ แต่น้องต้องไปขอหัวหน้าก่อน โปรโมชั่นนี้เนี่ย คุณพี่ผู้ชายจะจ่ายด้วยราคา 1690 แล้วคุณพี่ผู้หญิงจะจ่ายด้วยราคา 1390 ต่อเดือน แต่คุณพี่ต้องเป็นสามีภรรยากันนะคะ” หืมมมม อยากจะฆ่าแกเหลือเกิน นี่ถ้าชั้นตอบตกลงเมื่อกี้ไป มิต้องจ่ายรวม 4000 รึยังไง บอกให้เอาเนตๆทำไมไม่บอกเนตๆมาตั้งแต่แรก วุ๊ยยยย เสียรมณ์ แต่ก็โอเค ตามนี้ แล้วน้องเซลส์เธอก็ไปทำท่าถามหัวหน้า แล้วก็กลับมาตอบตามฟอร์มว่าได้ค่ะพี่ พี่ก็อยากจะถามกลับว่า แล้วน้องฟอร์มไปถามหัวหน้าทำไม ละครๆอย่างงี้พี่รู้ทัน

เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า การจะไปต่อราคากับฟิตเนสเซ็นเตอร์นั้น คุณต้องมีสติ คืนก่อนหน้าต้องนอนหลับให้สนิท พักผ่อนให้เพียงพอ สมองต้องปลอดโปร่ง และคิดตามให้ทันเซลส์ ห้ามเบลอ ห้ามเผลอ ห้ามไร้สติ ทั้งนี้ ต้องไม่ด่วนตัดสินใจ ให้ทำท่าเหมือนไม่พอใจราคา ประหนึ่งว่าฟิตเนสอื่นก็มี รอให้ราคามันดัมป์ลงมาเรื่อยๆ จนถึงราคาที่ไม่คิดว่ามันจะถึงได้ แล้วค่อยตอบเยส คิดดู 2 คน 7000 กับ 2 คน 3000 มันต่างกันราวฟ้ากับหุบเหวนะคู๊ณณณ

แต่ก่อนจะเซ็นสัญญาไป ช่วยตรวจสอบข้อมูลในสัญญาให้แน่ใจก่อนว่า ไม่มีอะไรขัดข้องหมองใจแล้วค่อยเซ็น โอเคนะ

ยัง เซ็นสัญญาจบแล้วใช่ว่าเรื่องจะจบ มันเป็นบทเริ่มต้นของชีวิตการออกกำลังกายในเมืองกรุง ระหว่างการทำสัญญา น้องเซลส์เธอจะบอกว่า เราจะมีบริการ เพอร์ซัลนอล เทรนนิ่ง ฟรี 1 ครั้งนะคะ เรียนเชิญคุณพี่ทั้งสองมาใช้บริการได้ ไอ้เราก็เอ่อ ดีนะ มีคนมาแนะนำเครื่องโง้นงี้ ดีจัง หารู้ไม่ว่า หายนะกำลังมาเยือน

ระหว่างวันที่เซ็นสัญญา จนถึงวันที่ไปเล่นจริงวันแรก ประมาณ 2 อาทิตย์ได้ ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากทางฟิตเนสประมาณวันละ 2 รอบ จากน้องพีที (เพอร์ซัลนอล เทรนเนอร์) คนหนึ่ง “เมื่อไหร่จะเข้ามาครับพี่ เดี๋ยวบุคเวลากันเลยนะครับ” พอไม่ว่างก็จะโทรมาอยู่นั่น สมมุติวันนี้วันจันทร์บอก เดี๋ยววันพุธหน้าจะเข้าไป น้องแกก็โอเคครับ พุธหน้า 6 โมงเย็นนะครับ พอวันอังคารโทรมาอีกละ พี่นัดไว้รึยังครับ โถๆ ก็พึ่งนัดแกเมื่อวานไง โทรมาอีกแล้ว แล้วจะเป็นอย่างงี้ตลอดเวลา จนถึงวันไป

พอไปถึง ปรากฏน้องที่ตามเทียวไล้เทียวขื่อไม่ว่าง เลยได้น้องสองคนมาแทน ผู้หญิงดูเรา ส่วนผู้ชายดูแฟน แล้วน้องพวกนี้นะ ขอโทษ พ่อแม่ตั้งชื่อให้หรือไร มีทั้งพีทีไมโล พีทีออสการ์ พีทีเลิฟ พีทีฟิต ไม่มีพีทีเปปโซเดนท์ เสียเลยล่ะ แต่ก็ต้องขอชมเชย เพราะ พีทีแต่ละรายล้วนออกมาจากนิตยสาร หล่อใสกิ๊ก เหมือนไปถ่ายเธอกับฉันหรือเดอะบอย อย่างไรอย่างนั้น แล้วความรู้ดีๆกันด้วยนะ ไม่ได้จบกายวิภาคอะไรมาทั้งสิ้น จบการตลาด มาเทรนเป็นเทรนเนอร์ทางด้านฟิตเนส แล้วมันจะไหวเหรอ ถ้าร่างกายพี่เปลี่ยนไปเป็นไจโกะแล้วใครจะรับผิดชอบ

แล้วเราสองคนก็แยกกันไป เราก็ไปวิ่ง ไปเวทเทรนนิ่ง ไปดูเครื่อง เค้าให้ทำอะไรก็ทำ แต่ไม่หักโหม เพราะรู้ว่าไม่ได้ออกกำลังกายมานาน เล่นหนักกล้ามเนื้อก็จะเจ็บสิ ด้วยความดุ น้องพีทีที่มาดูแลคงไม่กล้าบังคับให้เล่น ต่างจากคุณแฟนที่ดูใจดี ไอ้น้องพีทีนั่นก็ไม่รู้เอาความรู้มาจากไหน พี่ยกอีกยกอีก เล่นอีกเล่นอีก เดี๋ยวกล้ามเนื้อพี่ก็จะคืนมาแล้ว มันมีอยู่แล้วเล่นอีกนิดมันก็จะกลับมา แฟนข้าพเจ้าก็เชื่อ เอานะ มาแน่ ยกใหญ่เลย เป็นไงล่ะ 7 วันต่อมาแทบจะกระดิกกระเดี้ยอะไรไม่ได้ เสียเงินไปหาหมออีก ไอ้น้องพีทีที่ดูแลก็หน้าจ๋อยๆเลยคราวนี้ เป็นหนักขนาดนั้นเลยเหรอครับพี่ ก็เอ่อสิวะ ... มีที่ไหน ให้ใส่ไม่ยั้งขนาดนั้น วันแรกด้วย

ว่าแล้วก็ต้องย้อนกลับไปช่วงวันแรกหลังจากเทรนเนอร์ทำให้ฟรีจบ น้องสองคนนี้ก็พาเราสองคนมาพบกันอีกครั้ง เราก็ทะแม่งๆแล้ว ทำไมต้องให้เข้ามาสู่สถานการณ์เดิมๆ แล้วก็บทสนทนาเดิมๆ “เป็นไงครับพี่ การเทรนวันนี้ ดีใช่ไหมครับ พี่จะเห็นว่าถ้าพี่มาเล่นเอง พี่จะไม่รู้ว่าจะต้องเล่นเครื่องไหน เพื่อลดส่วนไหนโดยเฉพาะ หลายคนที่อยากกระชับ แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง พี่สนใจจะมีเทรนเนอร์ส่วนตัวไหมครับ” เอาแล้วไง ต้องเล่นบทนางมารแล้วไง แต่เพื่อเป็นการรักษาน้ำใจ “เท่าไหร่ล่ะ” “ก็ คอร์สนึง สามหมื่นครับ” โอ้..... อกอีแป้นจะแตก นึกว่าจะบอกว่า 7 พัน “อืมมม จริงๆก็สนใจอยู่นะ แต่ไม่ดีกว่า แฟนพี่เค้าเคยเล่นมาก่อน เราช่วยๆกันดู ช่วยๆกันเทรนได้” บลา บลา บลา น้องเค้าคงเห็นว่าหมดหนทาง น้องผู้หญิงก็นั่งเงียบทีเดียว เจออีนี่ทีไปไม่เป็น เลย

น้องผู้ชายเลยไปเรียกหัวหน้ามา ซึ่งหล่อมาก หัวหน้าท่าทางดุมาก คงคิดว่าเป็นคู่เจรจาที่สมน้ำสมเนื้อที่สุดบนสังเวียน “สวัสดีครับ (พร้อมยกมือไหว้) เป็นไงครับน้องๆผม พี่ไม่สนใจอยากมีเทรนเนอร์ส่วนตัวเลยเหรอครับ” จังหวะนี้เราก็ปล่อยให้แฟนรับหน้าไปก่อน เดี๋ยวเจ๊ทนไม่ได้แล้วจะออกโรงเอง ตอนนี้ขอดูเชิง “อืมมม ก็น่าสนใจนะครับ มีเทรนเนอร์ส่วนตัวก็ดี แต่กะว่าจะลองเล่นกันเองดูก่อน” “ทำไมล่ะครับ อย่างพี่ต้องสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่ ส่วนพี่ผู้หญิง ถ้าพึ่งผ่าตัดมาก็อาจจะต้องดูแลกันนิดนึง หรือพี่มีปัญหาในส่วนไหนบอกผมได้นะครับ ผมพร้อมลดราคาให้” พูดพร้อมกับส่งสายตาอันดุดัน แต่มีหรือที่เจ๊จะหวั่น “อืมมม ก็น่าสนใจนะครับ บลา บลา บลา บลา” ฝั่งนั้นก็ตอบมา “บลา บลา บลา บลา” จังหวะนี้เจ๊เริ่มทนไม่ได้ พอได้แล้ว “คืองี้นะคะ ขอพูดกันตามตรงเลยว่า ไม่เอา ไม่ว่าคุณจะเสียเวลาอธิบายอีกนานเท่าไหร่ ผลสุดท้ายก็คือยังไม่เอา นี่พูดกันแบบชัดเจนเลยนะ จะได้ไม่เสียเวลาทั้งสองฝ่าย คุณจะพูดอีก 2 ชั่วโมงก็ได้ แต่คำตอบก็คือไม่เอา อยากให้เข้าใจนะคะ” “โอเคครับ ลาล่ะครับ สวัสดีครับ” แล้วพ่อหัวหน้าสุดหล่อก็เดินจากไปพร้อมลูกน้อง คงเรียกกันไปอบรมอย่างด่วนว่าถ้าเจออย่างยัยคนนี้อีก อย่าเรียกไป เสียเรคคอร์ดหมด

นั่นหล่ะคะ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พูดจาตรงๆเสีย จะได้เข้าใจกัน ไม่ต้องต่อความยาว สาวความยืด รู้จักปฏิเสธ แล้วชีวิตจะสุโขสุขี

หลังจากนั้นก็ไปเล่นฟิตเนสได้ตามปกติ แต่ การเข้าไปในฟิตเนสดังกล่าวก็ยังทำให้เราผวาได้อยู่ตลอดเวลา ครั้งหนึ่งยืนรอแฟนอยู่หน้าห้องน้ำชาย ซึ่งใกล้กับเคาน์เตอร์ที่เหล่าพีทีนั่งอยู่ หน้าเราคงเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง เด๋อๆด๋าๆ แล้วก็เห็นเทรนเนอร์คนหนึ่งยืนมองด้วยความแบบว่า แกคือเหยื่อของฉัน มองตาเป็นมันแพรบๆ ทันใดนั้นหมอนี่ก็เดินเข้ามา ในใจนี่กลัวมากเลยนะ เพราะลักษณะการมองมันโคตรน่ากลัว “พึ่งมาใหม่เหรอครับ” นั่น ตูว่าแล้วไง จะเอาอะไรกับฉันเนี่ย “ เปล่า .... มากับแฟน” ตอบไปอย่างมั่นใจมาก

บางทีวิ่งๆอยู่ คนเหล่านี้ก็มาด้อมๆมองๆ เราก็เสียบหูฟัง ขยับปากร้องเพลงเต็มที่ พวกนี้มาจากไหนไม่รู้ มายืนบนลู่วิ่งข้างๆ หันไปก็เฮ้ยย..... ตกใจนะเว้ย แล้วน้องเหล่านี้ก็เริ่มต้นบทสนทนา บ้านพี่อยู่ไหนครับ มาเล่นบ่อยไหมครับ เหนื่อยไหมครับ สุดท้ายคือ มีเทรนเนอร์ส่วนตัวยังครับ พอพอพอ เบื่อแล้ว

หลังๆเริ่มรู้แกว มองจากกระจกข้างหน้ากะว่ามาแน่ไอ้นี่ แล้วก็มาจริงๆ เราก็หลอกให้คุยสัก 10 นาที เสร็จแล้วก็บอกว่า พี่ไม่ต้องการลดส่วนไหนหรอก พี่มาวิ่งแค่ให้ได้ออกกำลังกาย เตรียมมีน้องด้วย เลยไม่อยากหักโหมทำอะไร วิ่งอย่างเดียวก็โอเคแล้ว .... หลายรายต้องผิดหวังจากคำตอบดังกล่าว จนหลังๆเราเองก็เริ่มจิตแล้วนะ มาอีกสิ มาอีกสิ มาเลย เจออย่างงี้เจ๊ชอบ จริงๆก็น่าเห็นใจนะ รายได้เค้ามาจากตรงนี้ ก็ไม่อยากจะพูดจาอะไรให้มันรุนแรงหรอก แต่เจอตื้อบ่อยๆเข้าก็เหนื่อยใจ

นี่ยังไม่รวมโทรศัพท์ที่ตามมาอีกเพียบ นำเสนอโปรโมชั่นอีกไม่หวาดไม่ไหว ใครจะไปเล่นฟิตเนสใหญ่ๆก็ต้องทำใจล่ะคะ เห็นอย่างงี้แล้วคิดถึงหนองประจักษ์บ้านเราเหลือเกิน.... แต่ถ้าไม่นับเรื่องตื้อๆพวกนี้ ฟิตเนสชื่อดังที่ว่า ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่งล่ะคะ แค่ต้องทำใจ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2549

ไฮโซบางกอก

ไฮโซบางกอก 12/7/2550

ตั้งแต่มีโอกาสได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพนานๆอย่างในช่วงนี้ ทำให้ได้เจออะไรที่มันเริ่มมีการเปรียบเทียบกับชีวิตช่วงที่อยู่ที่อุดร เรื่องบางอย่างก็ทำให้ช็อคได้ ถึงแม้ว่าหลายๆเรื่องหลายๆอย่างจะเหมือนกัน จริงๆก็ถือว่าอุดรนี่เจริญแล้วนะคะ มีอะไรเหมือนที่กรุงเทพมี แล้วก็ถือว่าค่าครองชีพค่าอยู่ค่ากินอะไรถูกกว่าแน่นอน ชีวิตก็ไม่วุ่นวาย หวือหวาจนเกินไป แต่จะว่ากรุงเทพแย่เสียทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะกรุงเทพยังมีความหลากหลาย ไม่ซ้ำซากจำเจ มีที่ให้เดินหลายๆที่ มีกิจกรรมให้ทำพักผ่อนหย่อนใจหลายๆอย่าง อย่างร้านอาหาร ให้กิน 365 วันก็กินไม่ทั่วกรุงเทพหรอก มีของให้เดินชมช้อปปิ้งเต็มไปหมด แต่ก็อย่างที่เกริ่น บางทีมันก็มีเรื่องช็อคๆเกิดขึ้นได้ ด้วยความที่เราไม่ได้ร่ำรวยมากมายอะไรนัก พอเจออะไรที่มันกลายเป็นเรื่องเริ่มจะเดิ้น เริ่มจะชั้นสูงก็เริ่มจะงง อุ้ย มีอย่างงี้ด้วยเหรอ ไรเงี้ย

อย่างครั้งนึง เคยไปกินอาหารร้านหนึ่งแถวๆพระรามสี่ ก็ด้วยความที่เป็นร้านอาหารไทยๆ บรรยากาศสบายๆ ฝีมืออาหารร้านนี้ชั้นยอด เรียกได้ว่าตำรับชาววังกันเลยทีเดียว เข้าไปนี่บรรยากาศยังกับย้อนไปสมัยยุคนางทาส พนักงานเสิร์ฟห่มผ้าแถบนะคะ อย่าทำเป็นเล่นไป ข้าวนี่มากับหม้อดินกันเลยเชียว เจ้าของร้านเป็นถึงครูบาอาจารย์ด้านการทำอาหาร เรียกว่าเอ่ยชื่อขึ้นมาหลายคนต้องรู้จักกันล่ะ ก่อนไปก็ทำใจไว้แล้ว ว่าอาหารมันต้อง 100 อัพต่อจาน พอไปถึงยิ่งรู้ว่าคิดผิดถนัด เพราะมัน 200 อัพ แต่เอาเถอะ นานๆกินทีไม่เป็นไร ก็สั่งๆอาหารไปสามอย่าง ทำใจอย่างแรง พอกินของคาวเสร็จ อยากจะกินของหวานล่ะคราวนี้ ด้วยความที่ของคาวมันอร่อย ไอ้เราก็มั่นใจสุดๆของหวานต้องอร่อยแน่ เรียกเมนูมาเปิดดู เห็นไอติมกะทิบนขนมปัง แบบที่บ้านเราเค้าเข็นรถมาขายกัน ไอติมเป็นถัง มีขนมปังผ่ากลาง อัดข้าวเหนียวเข้าไป ราดถั่ว โรยนมนั่นแหละ แบบนั้นเลย ใส่หนมปังอันละ10-20 บาท หรือจะใส่ถ้วยใส่โคนก็ได้ นึกออกมะ แต่พอมาเจอร้านนี้ โอเคล่ะ เพิ่มขนุนขึ้นมาอีกนิด เครื่องอย่างอื่นๆอีกหน่อย หน้าตาน่ากิ๊น น่ากิน เหลือบไปดูราคา แม่เจ้าโว้ยยยย....... 120 บาท จะโบราณมาอีท่าไหน เจ๊ก็ไม่เอาด้วยหรอกงานนี้ ขอลา

เรื่องอาหารนี่เล่นเอาแสบสันไปหลายยกเหมือนกัน อย่างครั้งนึงคุยกับคุณแฟนว่า เสาร์-อาทิตย์เราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันตามโรงแรมดีกว่า พวกบุฟเฟต์อะไรแบบนี้ เหมือนสมัยที่เราอยู่อุดร เสาร์อาทิตย์ทีก็ไปเจริญศรีบ้าง เจริญโฮเต็ลบ้าง คนละร้อยกว่าบาท สองคนรวมน้ำ รวมทิปก็ไม่เกิน 500 ได้กินหนำใจขนาดนั้น ยอม.... พอมาอยู่กรุงเทพ ปะ เราไปกินบุฟเฟต์กันเถอะ เลยเลือกมาสองโรงแรมที่เคยไปกินเลี้ยงแบบฟรีๆมาก่อน กะว่าอร่อยแน่ พอโทรไปสอบถามราคาเท่านั้นหล่ะ เลี้ยวรถกลับแทบไม่ทัน โรงแรมแรก แจ้งราคามาว่า ต่อหัวท่านละ 1100 บาทค่ะ ถ้ามาทานสี่คนลดให้ 50 เปอร์เซ็นต์ค่ะ ก็เอ๊า ลูกก็ยังไม่มี เพื่อนก็ไม่ค่อยได้คบ จะไปหาอีกสองมาจากไหน แล้วนี่ทาน 2 คน 2,200 ไปกินโต๊ะจีนไม่ดีกว่าเรอะ พอพอ เลยโทรไปถามโรงแรมที่สอง กะว่า 500 ก็จะกัดฟันทนปรากฏว่าหนักกว่าเดิมอีก หัวละ 1,300 ค่ะ ถ้ามาทาน 4 คน ลด ครึ่งราคานะคะ เอ่อนะ มันประชุมโรงแรมทั่วกรุงเทพเหมือนกันหมดรึเปล่าเนี่ย 2 คน 2,600 รับไม่ได้ เจ๊รับไม่ได้ เลยได้ความรู้ว่า ที่กรุงเทพเนี่ย จันทร์ถึงศุกร์เค้าคิดราคานึง พอเสาร์อาทิตย์คิดอีกราคา พอเจออะไรอย่างงี้ปุ๊บ จากที่เคยบ่นๆว่าอุ๊ย ทำใมเจริญศรีต้องมาขึ้นราคา ทำใมเจริญโฮเต็ลคิดตั้งร้อยกว่าบาท เลยได้เปลี่ยนความคิดมารู้สึกว่า เอ่อ ถูกเนอะ แล้วเค้าจะคุ้มไหมเนี่ย

เดี๋ยวนี้ที่กรุงเทพมีบุฟเฟต์อีกประเภทนึง คือบุฟเฟต์แบบสั่ง ไม่ต้องไปตัก อยากกินไรสั่งเอา แต่หัวละ 400 นะ คิดไปคิดมา คนอะไรจะสั่งจะกินได้เยอะขนาดนั้น อีกอย่างถ้าไปสัก 5 คน รวม 2,000 นี่ไปกินร้านอาหารดีๆได้อิ่มเหมือนกันนะจะบอก เอ่อ...ลืมเล่า เมื่อสองอาทิตย์ก่อนไปกินบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นเจ้าดังมา เค้าคิดหัวละหนึ่งพัน เราก็ยอม ด้วยความที่มันเป็นโอกาสพิเศษ อยากรำลึกความทรงจำ แต่พอไปกินนะหูยยย เสียดายตังค์ ถ้าเอาสองพันนี่ไปกินฟูจิคงกินได้ประมาณ 6 คนแบบอิ่มท้องแตกกันไปข้างนึงเลย

อาหารเวียดนามนี่ก็เหมือนกัน ไม่อร่อยแล้วยังแพงอีก แหนมเนืองจานละ 200 ได้หมูมา 2 ต่อน กินหกเจ็ดคำก็หมดแล้ว อยู่อุดรนี่ได้ชุดใหญ่เลยนะ 8 ไม้ 10 ไม้ไม่มีอั้น แถมกินได้แบบออกรสออกชาด ปกติแหนมเนืองคำนึงนี่ห่อด้วยผัก 1 ใบใหญ่ๆ บางทีต้องซ้อนสองใบ แล้วยัดเข้าปากด้วยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของปาก ประมาณ 8 เซนติเมตร อยู่กรุงเทพนี่ต้องกินแบบจุ๋มจิ๋ม จิ๊จ๊ะ ไม่ถนัดอย่างแรง เคยลองกินแบบอุดรแล้วทีนึง ป้าโต๊ะข้างๆมองตาไม่กระพริบ คำแล้วคำเล่า ก็อยากจะหันไปถามว่า มองไรยะ...ไม่เคยเห็นคนกินแหนมเนืองรึไง!!!

พูดเรื่องกินแล้วก็จะพูดเรื่องเค้กให้หมด จะได้จบเป็นหมวดๆไป ร้านเค้กในกรุงเทพร้านดังๆมีอยู่ที่นึงที่ดังมากๆ แล้วมันก็แพงมากๆด้วย รู้สึกจะมีอยู่สามสาขา คุณเคยกินเค้กที่อุดรมั้ย ซีกแบบสามเหลี่ยม 50 บาทก็ว่าแพงขาดใจแล้ว ร้านนี้ซีกละ 120 นะเอ้า กินแล้วแทบจะบินได้ แต่ของเค้าอร่อยจริงๆ เพียงแต่มันทำให้เรานึกว่า ก๋วยเตี๋ยวชามละ 30 บาท แต่เค้กก้อนนึงก้อนละ 120 บาท อะไรมันจะต่างกันขนาดนั้น กินเค้ก 2 ก้อนนี่กินข้าวกันได้ทั้งครอบครัวแล้วมั้ง ร้านนี้เค้าขายอาหารด้วย เข้าไปทีนึกว่าไปกินอยู่เทิงฟ้า อาหารจานเดียวจานละไม่ต่ำกว่า 200 มีที่ไหน กระเพราไก่ไข่ดาว จานละ 200 กว่า เผ็ดก็เผ็ด หลาบเลย ไปกินทีเดียวแล้วหลาบ ถ้าจะต้องไปคราวหน้าคงต้องหาสปอนเซอร์อย่างดี บินตรงมาจากอุดรเท่านั้น ถึงจะหลอกพาไปกิน แล้วจะหลอกให้จ่ายเงินค่าเค้กสัก 5 ก้อนไปตุนไว้กินด้วย อ้วนจงเจริญ

หมดเรื่องกินแล้วเปลี่ยนมาเรื่องความสวยความงามมั่งดีกว่า มีตำนานอมตะเรื่องนึงจะเล่าให้ฟัง เมื่อสามอาทิตย์ก่อนเกิดอารมณ์อยากทำอะไรกับผมขึ้นมา ด้วยความที่มันยาวจนจะไปแทงก้นอยู่แล้ว สระทุกเช้ามันก็ไม่ไหว ยาวเหลือเกิน ผมก็ร่วงแล้วร่วงอีก กวาดมานี่ไปต่อทำอีกหัวได้เลยนะ เลยตัดสินไจไปทำอะไรกับผมพร้อมกับคุณแฟน เลือกร้านทำผมร้านนึงที่ห้างดังแถวๆสุขุมวิท บังเอิญเป็นร้านที่คุณแฟนตัดประจำอยู่แล้ว เค้ามีช่างทำผมที่รู้ใจกันอยู่ ไอ้เราก็พอทราบค่าตัดอยู่บ้าง ก็ทำใจล่ะคะ เพราะอยากไปตัดพร้อมกันสองคน ร้านนี้เค้าหรูนะ หนังสือนี่จะหาภาษาไทยไม่ค่อยมี ต้องเป็นหนังสือแฟชั่นภาษาอังกฤษเท่านั้น แหม...ไม่ค่อยเข้าทางเราเท่าไหร่หรอกคะ เพราะปกติเจ๊อ่านแต่คู่สร้างคู่สมเท่านั้น เจ๊ชอบมาก แต่ก็เอาหน่ะ พอหยวนๆ อังกฤษก็อังกฤษ ของหวานที่เค้ามาเสิร์ฟก็เป็นลูกชุบ ประมาณว่า 15 ลูก 45 บาท เคยเห็นที่แถวซุปเปอร์บ่อยๆ นี่ก็ไม่เข้าทางเราเหมือนกัน เพราะปกติซื้อลูกชุบแบบคีบๆตักๆ 15 ลูก 20 บาท ไม่รู้ใส่สีย้อมผ้าให้รึเปล่า แต่ก็กิน

พอไปถึงร้านก็เห็นไฮโซไฮซ้อทั่วฟ้าเมืองไทย มีดารงดารามารอตัด รอเซ็ทผมอยู่เพียบ เราก็สระๆๆ แล้วก็มานั่งรอตัดกับคุณแฟนคนละเก้าอี้ พอช่างมาเราก็เริ่มเลย
“เอ่อ... คือแบบว่า เป็นคนที่ไว้ผมตรง ยาว สีดำอย่างงี้มานานมากแล้วอ่ะคะ อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง เพราะค่อนข้างเบื่อผมตรงๆ ยาวๆแบบนี้แล้วเหมือนกัน คุณช่วยออกแบบให้หน่อยสิคะว่าทำทรงไหนถึงจะพอเข้ากับใบหน้า (อันอวบอ้วน)”
ช่างตอบ “ ก็เอาอย่างงี้นะครับ เป็นคนสระผมทุกวันอยู่แล้วใช่ไหม อย่างงั้นเอาทรงที่ไม่ต้องทำอะไรมาก ใช้แค่มูสขั้นตอนเดียว แล้วปล่อยผมให้แห้งก็สวย จะได้ไม่ต้องไดร์ เราก็ดัดสักหน่อยตรงช่วงปลายๆ ให้มันเป็นลอนใหญ่ๆ ช่วงบนหัวก็ให้เป็นยาวตรงลงมา ดูมีโวลุ่มดี เสร็จแล้วก็ทำสีผม ให้หน้าดูสว่างขึ้น แต่ไม่ต้องใช้สีที่มันสว่างมากนะครับ เพราะผมคุณตอนนี้ก็ไม่ใช่ดำสนิท เลือกเอาเป็นสีน้ำตาลแดงเข้มๆก็แล้วกันนะครับ โอเคครับ เดี๋ยวตัดผมก่อนเลย ”
ช่างก็ตัดๆๆ ทำเลเยอร์ให้ผม ซ้ายที ขวาที หลังที หน้าที ผมจากที่เคยแทงก้นก็สั้นลง สั้นลง จนเสร็จสิ้นกระบวนการ พร้อมแก่การดัดเป็นขั้นตอนต่อไป หลังจากช่างเช็คความเรียบร้อยแล้วก็หันมาพูดคุยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ เดี๋ยวเราจะเริ่มดัดตั้งแต่ตรงประมาณปลายๆหูลงไปนะครับ เพราะผมคุณเส้นเล็ก ต้องดัดตั้งแต่ขั้นนั้น จะได้ดูสวย แต่ก่อนอื่นผมขอแจ้งราคาให้ทราบก่อน ค่าดัดทั้งหมดหกพันบาท โอเคนะครับ”
อึ้งสิ อึ้งไปเลย ใบ้ไปเลย เลยตอบไปว่า “อืมมมม ค่ะ” จังหวะนี้มาเล่าให้แม่ให้น้องฟังทีหลังยังโดนด่า นี่ยังมีหน้าไปตอบอืมมมกับเค้าอีกเหรอ น้องสาวบอก เป็นหนูหนูตอบไม่ไปตั้งแต่ทีแรกแล้ว ก็ไม่มีตังค์อ่ะ ก็แหมนะคุณน้อง คืออารมณ์มันแบบว่าคุยกับเค้าสะดิบดี ไม่อยากได้ผมยาวตรงแล้วคะ อยากดัดค่ะ ช่วยออกแบบด้วยนะคะ ทำเต็มที่เลยนะคะ เป็นไงล่ะ บอกราคามาร้อนวูบที่ใบหน้าเลยทีเดียว เหงื่อออกทางรูขุมขนโดยไม่สามารถควบคุมได้ จังหวะนั้น ช่างออกไปหยิบอุปกรณ์และน้ำยาการดัด เป็นจังหวะที่เจ๊กำลังลนลานหาทางออก เจ๊ต้องเลือกเอาระหว่างเสียหน้ากับเสียตังค์ ซึ่งเป็นใครก็ตอบได้ กูเลือกเสียหน้า กูไม่ยอมเสียตังค์ แน่นอน เมื่อคิดได้ดังนั้น เลยกวักมือเรียกช่างมา
“อืมมมม.... คิดว่ายังไม่ทำดีกว่าค่ะ ขอเวลาคิดดูก่อนอีกทีนะคะ” ในใจอีช่างคงแบบ แหม..... อีนี่ แอ๊บรวยนะ แต่ไม่เป็นไร มันจะคิดก็คิดไป เจ๊ยอม ช่างก็ถามกลับมา
“งั้นตกลงเดี๋ยวทำสีผมอย่างเดียวนะครับ” อิชั้นก็ดันเกิดจังหวะต้องเลือกระหว่างเสียหน้ากับเสียตังค์ขึ้นมาอีกครั้ง เลยกล้ำกลืนบอก “เอ่อ...... มันมีสีอะไรบ้างเหรอคะ” โง่อีกแล้วนะ เค้าก็อุตส่าห์ไปเอาชาร์ตสีมาให้เลือก แต่ช่างนี่เพลี่ยงพล้ำกระบวนยุทธไปก่อน เพราะดันเปิดช่องโหว่มาว่า “ แต่อยากแนะนำให้ให้ดัดไปด้วยเลย จะได้ไปทีเดียวเซตเดียวกัน” ข้าพเจ้าเลยได้จังหวะฉีกตัวออกมาจากช่องโหว่ดังกล่าว “อืมมม เหรอคะ งั้นสงสัยคงต้องรอไว้ทำพร้อมกัน อีกอย่าง แฟนไม่ชอบให้ทำเป็นสีๆด้วยอ่ะคะ เค้าชอบให้ผมดำๆ คงต้องกลับไปคิดก่อน” แฟนนั่งตัดผมอยู่ข้างๆไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย นั่งให้เค้าตัดฉับๆเนียนไป หารู้ไม่ว่าภรรยากำลังเจอศึกหนัก แล้วเลยหันไปถามช่างว่า “เอ่อ....ที่ตัดให้นี่เป็นทรงแล้วใช่ไหมคะ โอเค งั้นไดร์เลยแล้วกัน เอาทรงนี้แหละคะ ตรงๆ ดำๆ ยาวๆ ยังชอบอยู่” ช่างก็เลยเรียกอีกคนมาไดร์ให้ แล้วเค้าก็ไปตัดให้ไฮโซเจ้าของหนังสือชื่อดังที่นั่งอยู่อีกด้านของร้านแทน

หลังจากช่างไป ดิฉันก็เหลียวซ้ายแลขวา เห็นช่างในร้านเสริมสวยนั่งกันอยู่เป็นกลุ่ม เลยกะว่าพอตูออกจากร้านนี้ไปเมื่อไหร่ ต้องเสร็จขี้ปากพวกนี้แน่ สักหน่อยแฟนก็หันมา ถามว่าทำไมไม่ดัด ทำผมเสร็จแล้วเหรอ เราก็พูดไม่ออก ทำหน้าเหยเกเบะๆ แฟนคงงง ระหว่างนั้นก็ถามช่างที่กำลังไดร์ผมตัวเองว่า “โทษนะคะ ทำสีผมนี่ครั้งละเท่าไหร่เหรอคะ” ช่างบอก “คุณไม่เคยทำสีมาก่อน เป็นการทำครั้งแรก ไม่ต้องแก้สี ก็ประมาณ 3 พันกว่า” ในหัวเริ่มคิดคำนวณทันที ดัด ทำสี สระ ซอย สิริรวม 9,800 โอ้ แม่เจ้า..... เจ๊จะขาดใจตายเอาเสียให้ได้ตรงนั้น แพงโพดแพงเหลือ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตฉันถ้าฉันตอบตกลงไป ไอ้รามันก็แค่เศรษฐีคูโบต้า ไฉนเลยจะกล้าไปทำผมแพงได้ขนาดนั้น อยากจะไปกราบช่างทำผมคนนั้นงามๆที่เสนอราคามาก่อนลงมือ ไม่งั้นชีวิตนี้ต้องดับดิ้น ให้สวยสวรรค์ พรพรรณ เกลโบว่ายังไงก็ไม่เอา หมื่นนั้นใช้ได้เป็นเดือน ที่สำคัญ สวยไม่สวย แฟนก็ยังรัก ความสวยไม่ใช่สิ่งสำคัญ แค่นี้ก็จะสำลักความรักที่ล้นอกตายอยู่แล้ว..... วี้วววว

เล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่บอก แม่ตัดกับคุณแต๋วข้างบ้านไม่เกิน 200 อะไรจะปานนั้น พูดเรื่องทำผม แล้วก็จะพูดเรื่องทำเล็บมั่ง ที่อุดรไปนั่งทำเล็บที่ร้านเสริมสวย อย่างเก่งก็ร้อยไม่เกินสองร้อย แต่ที่กรุงเทพนี่ เค้าขายกันเป็นแพ็คเกจ อย่างร้านของดารานี่อย่าได้พูดราคาที่ต่ำกว่าพัน ไม่มีหรอก ส่วนร้านที่เคยไปก็อยู่ในห้างดัง เค้าคิด แพ็คละ 600 เริ่มตั้งแต่ ล้าง ขัด สครับ นวด ตัดเนื้อซอกเล็บ แต่งเล็บ ทาสี ที่นั่งก็ไฮโซหรูหรา เป็นเก้าอี้มีอ่างในตัว ตรงพนักเป็นเครื่องนวด นั่งแล้วแสนสบาย แรกๆก็พอกัดฟันไปทำเดือนละครั้ง หลังๆเริ่มไม่ไป อายเค้าด้วยล่ะ เพราะส้นทีนมันแตกชนิดที่ว่าคนขัดต้องตั้งการ์ดขัดกันเลยทีเดียว มิหนำซ้ำยังมีตาปลามาให้ระคายเคือง คนขัดพอเอามือจับไปเจอตาปลาก็ร้องออกมา อุ๊ยนี่อะไร..... อายสิ ใส่แต่รองเท้า 199 ก็งี้ล่ะ

ตอนนั่งขัดเล็บพนักงานก็เล่าให้ฟังว่า ช่วงที่มีงานฉลองครองราชย์ 60 ปี มีพวกเจ้าหญิง เจ้านายมาจากประเทศอื่น บางทีก็เป็นผู้ติดตาม ก็จะมานั่งให้ขัดๆทำเล็บ บางทีเป็นพวกมาจากตะวันออกกลางเลยนะ แต่งผ้าคลุมดำๆมาเลยนะ คนตามกันเป็นขบวน มานั่งขัดเล็บที่ร้าน แล้วขอโทษ ที่มานะผู้ชาย เค้าบอกว่าบ้านเมืองเค้าไม่ค่อยมี ถึงมีก็แพง ยิ่งพวกญี่ปุ่นนี่ยิ่งชอบ อยู่บ้านเมืองเค้ามันแพง มาเจอที่นี่เลยกลายเป็นถูกไป เพนท์เล็บเล็บละ 60 บาท บางทีก็ต่อเล็บอะไรก็ว่าไป ไอ้เราสิว่าแพงขาดใจอะไรขนาดนั้น

อยู่กรุงเทพนี่ไปไหนมาไหนถ้าจะให้สบายก็ต้องมีรถ บางคนที่เลือกสะดวกก็ขึ้นรถไฟฟ้า แต่เดี๋ยวนี้รถไฟฟ้าตอนเช้าๆแน่นอย่างกับรถเมล์หลังโรงเรียนเลิก คนขึ้นอย่างกับหนอน บางทีต้องรอ 2-3 ขบวนกว่าจะได้ขึ้น ขึ้นไปบางทีก็เหม็นเต่า เพราะบางคนโหนอย่างกะลิงกะข้าง บางวันเราก็ต้องเป็นลิงเป็นข้างเอง ก็ต้องโหนแบบหนีบๆจ๊กกะแร้ แล้วบางทีออฟฟิศก็ไม่ได้ติดรถไฟฟ้า เลยต้องขับรถไป วันธรรมดาน่ะไม่เท่าไหร่ ลองมาเจอวันศุกร์สิ จากไอ้ถนนที่เคยวิ่ง 10 นาที ตรงช่วงสีลมถึงเซ็นทรัลเวิล์ด แม่ล่อเข้าไป ชั่วโมงครึ่ง อย่างกับไปอุดร-ขอนแก่น นั่งกันเหนียงยานทีเดียวเชียว คนกรุงเดี๋ยวนี้เค้าเลยฮิตติดทีวีไว้ในรถ ไอ้เราก็กลัวแฟนอยากดูแล้วไม่มีสมาธิขับรถ เลยไม่ติดมันสะเลย เจอติดๆอย่างนั้นก็นั่งก็นอนกันไปสิ ตอนเติมน้ำมันนะแหมยิ่งเจ็บปวด อยู่อุดร เดือนนึงเติมสักสองครั้งได้มั้ง อยู่กรุงเทพเติมมันอาทิตย์ละครั้ง น้ำมันหมดอย่างกับระเหยเองได้ แพง แต่ก็ต้องทน

เค้าถึงว่าอยู่กรุงเทพก็ต้องทำใจ บางทีเราก็ไม่อยากจ่ายแพงหรอก จริงอยู่ กรุงเทพมีความหลากหลายนะ ของถูกๆก็มี ไม่ใช่ว่าจะแพงไปเสียทั้งหมด อย่างทุกวันนี้ไปกินข้าวแถวออฟฟิศตอนเที่ยงก็ไม่ถึงร้อย ข้าวราดแกงสองอย่าง 25 สามอย่าง 30 ก๋วยเตี๋ยวชามละ 30 พิเศษ 35 อะไรพวกนี้ก็มี หรืออย่างไอติมโบราณ ถ้วยละ 20 บาท (แพงกว่าอุดรนิดหน่อย) ก็มีเหมือนกัน แต่บางทีด้วยความที่ของแพงมันล่อตาล่อใจไง มันก็ทำให้เกิดกิเลส อยากลอง อยากชิม อยากตัดผมร้านดัง อยากใช้ของดีไรเงี้ย เรื่องพวกนี้ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงอยู่เหมือนกัน

สมัยก่อนมีความภูมิใจอย่างมากกับการไม่ยึดติด ไม่เป็นพวกวัตถุนิยม กระเป๋าต่อให้ก๊อปก็ซื้อ แต่ซื้อนี่ไม่ใช่เพราะอยากถือยี่ห้อนั้นนะ แต่ซื้อเพราะรูปทรง เอ่อ มันสวยดี น่าจะใช้ประโยชน์ได้ดีอะไรอย่างงั้น สมัยอยู่อุดรก็ใช้มาตลอด เปลี่ยนสองใบสามใบก็ซื้อแบบนั้นแหละ พอเข้ากรุงเทพที เจอคนถาม อุ๊ย ... รุ่นนี้ไม่เคยเห็นเลย ซื้อมาเท่าไหร่ เราก็ตอบๆไป อ๋อ ซื้อมาจากแถวๆริมแม่น้ำโขงอ่ะคะ เค้ามีขาย คนถามก็เจื่อนไปนิดนึง เพราะคงนึกว่าเราไปซื้อมาจากแถวๆโรม มิลาน สักหน่อยพอเริ่มทำงาน เห็นเพื่อนที่ทำงานดิ้นรนหากันจัง ใบละหลายหมื่น มีการฝากซื้อด้วยนะ แต่เจ๊ยังคงคอนเซปต์เดิม ไม่ต้องแพง แต่ใช้งานได้เหมือนกัน แต่ก็เริ่มมีแอบคิดนิดๆ มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ นี่หลังๆ บางทีเจอคนใช้รุ่นที่เหมือนกัน ของเขาหนังดี มัลติคัลเลอร์ ของเรางี้หนังเหลืองเชียว บ่งบอกอย่างชัดเจน ชักเริ่มโอนเอนแล้ว ยิ่งพอไปเดินห้าง อยู่ดีๆก็มีป้าคนนึงเดินมาทัก แถมทักเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ นึกว่าเราเป็นญี่ปุ่นหรือไง เราก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษกลับไป กระแดะไง เข้าใจไหม เค้าทักว่า อุ๊ย รุ่นเดียวกันเลย มัลติคัลเลอร์ ยูซื้ออยู่ไหน พอบอกเมืองไทย ป้าแกก็ อุ๊ย แพงล่ะสิ หลายหมื่นใช่ไหม เราก็ อืมมมม...... หลายหมื่นอยู่ ป้าแกบอกของแกซื้ออยู่อเมริกา สวยเนอะ สวยมาก ไอ้เราก็เอาของเราหลบๆ เหลืองกรอบเหลือเกิน แล้วป้าแกก็โม้อะไรต่ออีกนิดหน่อย แล้วแกก็ไป

สถานการณ์นี้ทำให้จิตใจคนเราเริ่มสั่นคลอนได้ ความเชื่อเดิมๆชักจะเริ่มเปลี่ยนแปลง ต้องใช้เวลาหาจุดถ่วงอยู่หลายวันกว่าจะเสถียรเข้ารูปเข้ารอย จริงๆแล้วที่เคยคิดมาทั้งหมดมันก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องไปเสียเงินกับของแพงๆ ไว้มีปัญญาหาเงินได้สักปีละ 100 ล้าน แล้วค่อยจะพิจารณาออพชั่นนี้ใหม่ ไม่เห็นต้องดิ้นรนเป็นไปตามเขาเลย หรือถ้าอยากใช้ของจริงๆ ก็ไปหายี่ห้อที่มันราคาสักพันสองพัน แต่จริงและสวยอย่างยี่ห้อลองชองก็ได้นี่ กำลังฮิตมากในหมู่วัยรุ่นตอนปลาย กระเป๋าอะไรอย่างกับกระเป๋าจ่ายตลาด ฮิตกันเหลือเกิน

อยู่กรุงเทพก็อย่างงี้ล่ะคะ เจอแต่สิ่งล่อลวงเยอะแยะ เห็นผู้หญิงสมัยนี้แต่งตัวแล้วก็น่าดูน่าชม จริงๆก็อยากแต่งตัวให้ได้อย่างคนอื่นที่เค้ามีสไตล์เป็นของตัวเองบ้างนะ แต่เดชะบุญที่ร่ำรวยเนื้อหนังมังสา ไม่งั้นคงเริ่ด และกระเป๋าคงแฟบไปกว่านี้แน่ๆ บางคนบ้าช้อปมากถึงขนาดติดหนี้บัตรเครดิตหลายๆใบ หมุนเงินไปเรื่อยๆจากการใช้เงินในอนาคตไง เรื่องมันก็น่าเศร้าอย่างงี้แหละ ใครว่าอยู่กรุงเทพสบาย อยู่บ้านเรานั่นหล่ะคะ สบายดีแล้ว ค่ากินค่าอยู่ก็ถูก อากาศก็ดี รถก็ไม่ติด สุขภาพจิตก็ไม่เสีย ดีกว่าอยู่กรุงเทพเยอะเลย ที่พูดมาทั้งหมดนี่อาจจะดูเหมือนใช้ชีวิตแบบร่ำรวย แต่จริงๆแล้วแต่ละเรื่องที่ยกมาเหมือนเป็นการให้โอกาสตัวเองได้ลองอะไรที่มันแปลกๆ อินเทรนด์ ซึ่งชีวิตจริงๆทุกวันก็ยังกินข้าวราดแกง ผัดซีอิ๊ว ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า อยู่นั่นแหละคะ ใช่ว่าจะกินบุฟเฟต์ทุกวันเสียเมื่อไหร่ นานๆสักทีก็จะให้ของขวัญตัวเองด้วยการไปหาอะไรแปลกๆได้ดู ได้เห็น ได้ลอง จะได้เป็นเหมือนกับประสบการณ์ชีวิตไงคะ คุณว่ามะ...

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2549

อยากมีหนังสือของตัวเองสักเล่ม ทำอย่างไร

อยากมีหนังสือของตัวเองสักเล่ม ทำอย่างไร 24/5/2550

สองเดือนผ่านไป ไวเหมือนโกหก กลับมาพบกันอีกแล้วนะคะ ฉบับที่แล้วเขียนเรื่องอยุธยา หวังว่าคงจะถูกใจหลายๆท่าน ส่วนฉบับนี้ขอเอาใจคนชอบเขียนหนังสือหน่อยแล้วกัน เลยว่าจะเขียนเรื่อง อยากมีหนังสือของตัวเองสักเล่ม (หรือหลายเล่ม) ทำอย่างไร ก็จะเริ่มตั้งแต่แนวคิดในการจะเขียนหนังสือ การวางโครงร่าง ลงมือเขียน พอเขียนเสร็จแล้วส่งสำนักพิมพ์ ต้องผ่านขั้นตอนพิธีการยังไงกว่าจะออกมาเป็นรูปเล่ม เสร็จแล้วก็เซ็นสัญญา ตามด้วยการตกลงเรื่องค่าตอบแทน จนสุดท้ายคือหลังจากหนังสือออกเราจะต้องทำอะไรบ้าง เรื่องพวกนี้คนเขียนเองผ่านมาหมดแล้ว ถึงจะไม่ได้ช่ำชองอะไร แต่ก็พอจะรู้ขั้นตอนและรายละเอียดทั้งหลาย จากประสบการณ์ส่วนตัว แล้วก็จากการคุยกับคนในแวดวงมาบ้างอ่ะนะคะ

ช่วงที่ออกหนังสือก็จะมีหลายคนมาถามถึงเรื่องการเขียน การได้รับค่าตอบแทน เดี๋ยวจะเลือกเอาสิ่งที่เป็นคำถามท๊อปฮิตมาตอบให้ละเอียดแล้วกัน เริ่มแรกเลยคือแนวคิดในการเขียน แน่นอนล่ะ สิ่งแรกที่ต้องมีเลยคือ “จะเขียนเรื่องอะไร” ถ้าไม่รู้นี่ก็จะเขียนทำไม ใช่ไหมคะ สำหรับตัวเองนะ เบสิคๆเลยคือต้องเป็นเรื่องที่ตัวเองรู้อยู่แล้ว หรือประสบการณ์ที่เคยผ่านๆมา เพราะประสบการณ์ไม่มีผิดไม่มีถูก ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ไม่ใช่หลักวิชาการ ก็ฉันเจอมาอย่างงี้ ใครจะมาบอกว่าฉันไม่ได้เจอล่ะ ใช่มะ ก็ฉันเจอมาด้วยตัวเองนี่ แล้วต้องเป็นเรื่องที่รู้โดยละเอียดด้วยนะ ไม่ใช่รู้งูๆปลาๆแล้วมาทำเป็นว่ารู้จริงเหลือเกิน ถ้าทำอย่างงั้น คนอ่านนั่นแหละจะมาฆ่าคนเขียนเอง แต่ก็มีบางเรื่องเหมือนกันนะคะ ที่ณ. เวลาเขียนยังติดว่าเขียนออกไปนั่นจะผิดหรือถูก ถ้าเจออย่างงั้นก็จะวิ่งไปหาข้อมูลมาสนับสนุนก่อน ไม่อยากเขียนสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วการที่เขียนในสิ่งที่ตัวเองรู้ หรือเคยประสบมาด้วยตัวเอง มันก็จะทำให้การเขียนง่ายและลื่นไหลขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน

พอได้เรื่องที่จะเขียนแล้วก็ต้องมาวางโครงเรื่อง อันนี้สำคัญนะ ถ้าคิดได้แต่หัวเรื่องแต่ไม่คิดหัวข้อย่อย หรือทำโครงขึ้นมา เวลาคุณเขียนจะลำบากมากเลย เพราะไม่สามารถคอนโทรลตัวเองให้อยู่กับร่องกับรอยได้ แล้วสุดท้ายก็จะพบว่าตัวเองเขียนวนไปวนมา มุดหลุมโน้น ออกหลุมนี้ เดี๋ยวก็มาที่เก่า เลอะเทอะนะคะเลอะเทอะ สะเปะสะปะไม่ไหวเลย ดังนั้น ที่สำคัญคือต้องวางโครงเรื่อง มันจะทำให้เรารู้จุดหมายปลายทาง และสโคปของแต่ละหัวข้อที่เราจะเขียนได้ดี อย่างที่คนเขียนกำลังเขียนบทความนี้อยุ่ ก็แบ่งโครงเรื่องไว้ก่อนเป็น ช่วงเลือกหัวข้อและเนื้อหา ช่วงเขียน ช่วงส่งสำนักพิมพ์ ช่วงตรวจแก้ไข ช่วงตกลงเซ็นสัญญาและค่าตอบแทน แล้วก็ช่วงหนังสือออก เห็นมะ แค่เราลำดับมัน การเขียนออกมาก็จะไม่ยากแล้ว เพราะเรารู้ว่าพอถึงตรงนี้เราจะเขียนอะไร

ที่นี้มาถึงตอนเริ่มเขียน หลายคนถามว่า เขียนอะไรยาวๆอย่างงี้ได้ไงอ่ะคะ เขียนไม่เป็นน่ะ อืมมม ก็นะ ถ้าจะพูดให้เข้าข้างตัวเองหน่อยก็จะบอกว่าฟ้าประทานพรสวรรค์มาให้ สามารถเขียนอะไรไปได้เรื่อยๆ บางเรื่องคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรจะเขียน น่าจะสักสองหน้าเอสี่ก็พอ แต่พอเอาเข้าจริงๆต้องโทรไปบอกพี่บก.ว่า ขอโทษนะคะ มันหยุดไม่ได้จริงๆ ช่วงที่เขียนบทความให้โฮมช่วงแรกๆนี่ยิ่งหนัก เขียนเสร็จแทนที่บก.จะหนักใจ กลายเป็นนักเขียนหนักใจ ตายแล้ว ต้องขอโทษพี่เค้า เพราะพี่เค้าบอกเสมอว่าให้เขียนบทความสั้นๆ สัก2-3 หน้า เจ๊ล่อไป5-6 หน้าประจำ จนบก.ตัดเป็นสองตอนซะเลย แต่ถ้าจะให้เหตุผลนอกเหนือจากพรสวรรค์ก็ต้องบอกว่า เพราะการเลือกเรื่องที่เราเขียนเป็นเรื่องใกล้ตัว และเป็นเรื่องที่รู้อยู่ในสมองอยู่แล้ว เนื้อหามันก็จะพรั่งพรูออกมาเองล่ะคะ

ว่าแล้วก็มาถึงเรื่องสำนวน ส่วนตัวเลยนะ ยึดหลักง่ายๆเลยคือ เขียนให้เหมือนกับว่าตัวเองกำลังเล่าให้เพื่อนฟังอยู่ แล้วภาษามันก็จะออกมาเป็นธรรมชาติมาก อย่างสมัยที่เขียนเรื่องไปอังกฤษ เล่มนั้นภาษาก็จะโฉ่งฉ่างวัยรุ่น ช่วงนั้นสบถอะไรยังเอาไปใส่ในหนังสือเลยเอ้า ถ้าคำไหนเน้นหน่อยก็ใช้ตัวอักษรหลายๆตัว อย่าง ช่วงนี้งงงงงงงงมากกกกกก คนอ่านก็จะอารมณ์แบบ อือฮือ ช่วงนั้นแกต้องงงกับชีวิตแกมากแน่ๆ เป็นอะไรมากมั้ย ประมาณเนี้ย ด้วยความที่คิดอยู่เสมอไง ว่าไม่อยากให้คนอ่านอ่านแล้วเบื่อ อ่านแล้ววาง ก็ต้องเขียนอะไรที่มันเป็นธรรมชาติของการพูดคุยกันของกลุ่มเป้าหมายที่เราวางเอาไว้ ถ้าจะไปเลือกเขียนเรื่องผู้ป่วยโรคหัวใจ แล้วจะให้เขียนออกอรรถรสอย่างนั้นก็คงไม่ใช่ “ฮูยแก....หมอบอกฉันเป็นโรคหัวใจวะ โห เซ็ง พรุ่งนี้จะตายไหม” ไรงี้เหรอ มันก็ไม่ใช่ ผิดกาลเทศะ แต่ถ้าเรื่องไปเรียนต่อ จะเขียนว่า “วิธีการติดต่อมหาวิทยาลัยมีอยู่สองวิธี คือ หนึ่ง...” คนอ่านคงจะอ่านได้สองหน้าก็วางทิ้งแล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น “เนี่ยนะ..เมื่อวานแชทกับคนที่กำลังเรียนอังกฤษ เค้าบอกว่าให้ติดต่อกับคนนื้ ดูแลเรื่องของเราดีโคตรๆ .....” คนอ่านมันก็จะเอ่อ เหมือนเพื่อนเล่า อยากรู้ต่อ ไอ้คนที่ว่านี่เป็นใคร จะได้ไปติดต่อมั่ง ไรเงี้ย

ช่วงเวลาที่เขียนก็สำคัญ ถ้าอารมณ์ไม่ได้นี่ ให้ตายยังไงก็เขียนไม่ได้เลยนะ แต่วันไหนอารมณ์พรั่งพรู นั่งเขียน4-5ชั่วโมงยังไม่เป็นไร มุกไหลตลอด ของอย่างนี้มันขึ้นกับอารมณ์ด้วย ปกติเขียนอย่างเก่งๆก็ได้ประมาณวันละ 4-5 หน้าเอสี่อ่ะคะ หมดจากนั้นจะได้แต่ปริมาณ คุณภาพไม่ได้ เพราะสมองจะเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอย หรือถ้าเมื่อไหร่เริ่มหมดมุก ก็จะนั่งจินตนาการว่าเพื่อนสนิทกำลังนั่งฟังเราอยู่ตรงหน้า เดี๋ยวจะเมาท์เรื่องนี้ให้มันฟัง แค่นี้ก็พอจะช่วยให้ออกรสออกชาดได้บ้างแล้ว พ๊อกเกตบุ๊คเล่มนึงที่ตัวหนังสือแน่นๆ ประมาณ 200 กว่าหน้า จะใช้เวลาเขียนอยู่ประมาณ 3 เดือนอ่ะคะ คิดเป็นหน้าเอสี่ก็ประมาณ 60 กว่าหน้าเอสี่ ตัวอักษร 14 ประมาณนี้

ที่นี้พอเขียนเสร็จ ก็ต้องย้อนมาดูจุดประสงค์แต่แรกเริ่มดั้งเดิมในการเขียนหนังสือ มีบางคนเขียนแล้วอยากทำเป็นเล่ม เพื่อแจกเป็นวิทยาทาน หรืออ่านกันเองในหมู่เพื่อนฝูง ค่าใช้จ่ายในการทำเล่ม ตูขอออกเองทั้งหมด กับสองคือหวังสร้างชื่อ พูดง่ายๆคือหวังขายนั่นแหละ ถ้าเป็นจุดประสงค์แบบแรก สำนักพิมพ์จะอ้าแขนรับ และปูพรมให้ตั้งแต่ยังไม่ก้าวเข้าประตูสำนักพิมพ์เลยเชียว เสร็จแล้วก็จะพิมพ์ให้เราได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าแบบที่สองหรือ ผู้เขียนต้องกระเสือกและกระสนหาลู่ทางเอาเอง บางคนอาจจะมีคนรู้จักใหญ่โต มีพาวเวอร์ที่จะเอางานไปเสนอให้ บางคนต้องหาเอง อันนี้ก็จะเริ่มที่ไปหาสำนักพิมพ์ในดวงใจมาก่อน ทั้งนี้ต้องพึงระลึกเสมอว่า สำนักพิมพ์ใหญ่ คิวที่รอก็ต้องยาว เผลอๆก็เป็นปี ส่วนสำนักพิมพ์เล็กๆ งานไม่เยอะ ก็อาจจะได้เร็วหน่อย แต่ก็จะเจอปัญหาจุกจิกมากมายตามมา เช่นไม่มีความเป็นมืออาชีพพอ

หลังจากหาสำนักพิมพ์ได้ ก็ต้องไปหาชื่อ บก. ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูให้ถูกชื่อถูกตัวถูกคน ไม่ใช่เขียนเรื่อง รักใสใสในวัยเรียน แล้วไปส่งให้ บก. หนังสือจตุคามนะ อย่างงี้ไม่ถูก พอหาชื่อได้ก็ส่งงานล่ะคราวนี้ ส่วนใหญ่ก็จะให้ส่งงานทางไปรษณีย์ หรือถ้าใครอยากไปด้วยตัวเองก็ต้องนัดก่อน ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าไป เสร็จแล้วก็รอร๊อรอ ถ้าไม่มีเส้นล่ะก็ บางรายอาจจะต้องรอหกเดือนผ่านไป สิบเดือนผ่านไป เผลอๆต้นฉบับลงถังที่ไหนไปแล้วก็ไม่รู้ ไอ้คนรอก็ได้แต่รอ จริงๆก่อนส่งถ้าจะให้เป็นที่น่าสนใจหน่อยก็ควรจะเขียนใบปิดงาน แปะเอาไว้ด้านหน้า บอกประวัติเราเล็กน้อย บอกเนื้อหาโดยสังเขป แล้วก็บอกถึงกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งจุดแข็งของหนังสือคุณ เพื่อเป็นการดึงดูด บก.ให้สนใจด้วยการอ่านจากใบปิดหน้างานคร่าวๆนี่แหละ ไอ้ที่จะรอให้เค้าอ่านจบเล่มบางทีมันก็อาจจะไม่ทันการณ์

หลังจากรอ ถ้าใครโชคดีหน่อยก็จะได้รับการติดต่อกลับมา บอกว่าสนใจจะพิมพ์ อาจจะมีการเรียกเข้าไปคุย หรือไม่ก็ส่งสัญญาให้เซ็นเลย ในสัญญาหลักๆก็จะระบุถึงค่าตอบแทนที่จะให้ ระยะเวลาในการถือลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์ อย่างสามปีที่เซ็นสัญญาไป ห้ามเอาไปให้ใครพิมพ์ แล้วก็มีเรื่องจำนวนที่จะพิมพ์ แล้วก็สิ่งที่จะให้นอกเหนือจากค่าตอบแทน อย่างให้หนังสือฟรี 10 ชุด ประมาณนั้น

โดยปกติ ค่าตอบแทนที่ได้จากงานเขียนหนังสือจะมีการให้อยู่สองแบบ หนึ่งคือให้แบบเหมาจ่ายไปเลย เช่น เขียนหนังสือเล่มนี้ น้องเอาไปสามหมื่นเลยแล้วกัน ขาดตัว ให้แล้วก็ถือว่าจบ กับวิธีที่สอง คือให้แบบแบ่งเปอร์เซ็นต์จากยอดพิมพ์ เช่น หนังสือเล่มละ 200 บาท ตกลงกันที่ 5 เปอร์เซ็นต์ ครั้งแรกจะพิมพ์ 2,500 เล่ม สูตรในการคำนวณก็จะเป็น เอาราคาปก คูณจำนวนพิมพ์ แล้วก็คูณด้วย 5 เปอร์เซ็นต์ อย่างในกรณีนี้ก็จะได้ 25,000 บาท ดูสิ เขียนแทบตาย ได้เท่านี้ แล้วมันก็ได้เท่านี้จริงๆด้วยนะ อย่าไปนึกว่าเป็นนักเขียนแล้วได้เงินดีนะจะบอก ได้กันเท่านี้จริงๆ ยกเว้นว่าคุณจะเป็นดารา นักร้อง นักเขียนระดับท๊อปเทนที่ขายกันได้เป็นแสนๆเล่ม อย่างนั้นหรอกถึงจะรวย ปัจจุบันถึงจะเห็นว่าหลายสำนักพิมพ์ชอบไปหาดารามาทำพ๊อกเกตบุ๊ค ส่วนใหญ่ไม่ได้เขียนเองหรอก อาศัยเล่าเอา แล้วมีคนเขียนให้อีกที หนังสืออย่างงั้นมันขายได้ในระดับแมส คือระดับประเทศ คนอ่านสนใจเหลือเกิน เพราะเป็นเรื่องดารา ขายได้ทีว่ากันเป็นหมื่นๆแสนๆเล่ม พิมพ์ครั้งที่ 18,19,20 ว่ากันไปโน่น หรืออย่างนักเขียนที่ติดตลาดรุ่นใหญ่ๆ เปอร์เซ็นต์ที่ได้เค้าไม่ว่ากันที่ 5 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์หรอก ส่วนใหญ่ต้องได้มากกว่านั้น

สำหรับนักเขียนหน้าใหม่ๆ โดยเฉพาะที่ยังไม่เคยมีผลงานมาก่อน ส่วนใหญ่โดนกดกันทั้งนั้น มีสารพัดเหตุผลจะมาพูดกันล่ะ อย่าง น้องต้องเข้าใจ ว่าน้องยังใหม่ ทางสำนักพิมพ์ก็เสี่ยงเหมือนกัน ไม่รู้จะขายได้ไหม ก็เอาไปเท่านี้ สมเหตุสมผลแล้ว ส่วนตัวคนเขียน เจอมาทั้งสองอย่าง ทั้งแบบแรกแล้วก็แบบที่สอง ครั้งแรกสุดเลยคือเจอแบบเหมาจ่าย อึ้งกิมกี่ ด้วยความที่ไม่ประสีประสาไง เกรงใจเค้า อุตส่าห์พิมพ์ให้ สัญญาก็ไม่ได้ดูให้ดีด้วยนะ มาเซ็นเอาทีหลังจนหนังสือพิมพ์เสร็จใกล้วางแผงแล้วโน่น ถึงได้มาเห็นสัญญา ลมแทบใส่ ได้แบบเหมาจ่าย พอมาเล่มหลังๆถึงได้เป็นเปอร์เซ็นต์ ค่อยยังชั่วหน่อย อย่างที่สองนี่ ถ้าได้พิมพ์อีกครั้ง เราก็ได้ค่าเปอร์เซ็นต์อีกนะคะ

ส่วนว่าค่าตอบแทนนี่จะได้เมื่อไหร่ อันนี้มีหลายกรณีค่ะ บางทีก็จะได้ก่อนหนังสือวางแผงเล็กน้อย บางทีก็หลังวางแผงไปแล้ว 6 เดือน บางคนโชคดีหน่อยนี่ได้ตั้งแต่พิมพ์เสร็จใหม่ๆเลย บางคนก็ได้เป็นเช็ค บางคนก็ได้เป็นเงินโอนเป็นงวดๆ หรือบางคนแย่หน่อย ไม่ค่อยจะได้ก็ต้องตามทวงกับสำนักพิมพ์ยิกๆ ส่วนใหญ่จะเจอกับสำนักพิมพ์เล็กๆ ถึงบอกไงคะ เป็นนักเขียนต้องอดทน ถ้าจะหากินกับอาชีพนี้นี่ต้องอดทนมากๆจริงๆ บางทีสองปียังได้ค่าเขียนไม่ครบเลย แต่ถ้ามีอาชีพอื่นเป็นหลักแล้วอยากเขียนหนังสือเป็นรอง อย่างงั้นก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าใครยึดอาชีพนี้เป็นหลัก คงได้เจอช่วงกินแกลบตอนเข้าวงการใหม่ๆแน่ๆ

อะ หมดจากเรื่องทำสัญญาก็มาดูเรื่องตรวจแก้ไขกันบ้าง ขั้นตอนนี้บางทีอาจจะอยู่ก่อนทำสัญญา หรืออยู่หลังก็แล้วแต่ ทางสำนักพิมพ์ก็จะให้เราแก้ไขด้วยตัวเองก่อนรอบนึงจนเสร็จ แล้วก็ส่งไปที่สำนักพิมพ์ ทางนั้นก็จะมีฝ่ายตรวจสอบการใช้คำ สะกดคำ บางทีก็จะตัดคำที่ไม่เหมาะสม ประโยคไหนที่ดูแรงไป หรือประโยคไหนที่ไม่สมควรมี จากนั้นก็ทำอาร์ตเวิร์ก จัดหน้าให้เท่ากับไซส์ของพ๊อกเกตบุ๊ค แล้วก็จะส่งมาให้เราตรวจและแก้สำนวนอีกที สรุปคือแก้สองรอบนั่นเอง แล้วก็ส่งเป็นตัวไฟนอลไปให้สำนักพิมพ์ เสร็จแล้วก็จะมีอีกฝ่าย เป็นฝ่ายออกแบบปก บางทีก็จะส่งปกที่ออกแบบให้เจ้าของเล่มดู บางทีก็ไม่ ถ้าเค้าส่งให้ดู เราก็ตรวจๆ ดูๆ แก้ไขตัวอักษร สี การ์ตูน อะไรอย่างงี้ พอใจแล้วก็โอเคไป จากนั้นก็รอ.... ถ้าได้คิวเลย ไม่เกินสามอาทิตย์ก็วางแผงแล้ว แต่ถ้าไม่ได้คิว ก็ต้องตามคิวล่ะคะ หนึ่งเดือนสองเดือนก็ว่ากันไป

แล้วก็มาถึงวันสำคัญคือวันวางแผง วันนั้นจะเป็นวันที่น่าจดจำที่สุดชีวิตของคนเขียนหนังสือเลยทีเดียว พอเห็นวางปุ๊บก็โอ้โห ความฝันเป็นจริง บนปกหนังสือมีชื่อผู้เขียนคือตัวเราเอง เนื้อหาและตัวอักษรที่ถ่ายทอดข้างในมันเป็นอารมณ์ของเราเองล้วนๆ ยิ่งพอได้รู้ว่าหนังสือขายดี ขายได้ ยิ่งประทับใจใหญ่ เคยไปที่ดอกหญ้าสาขา สยามสแควร์ แล้วเข้าไปถามเค้าว่าหนังสือขายได้ไหมเป็นยังไง เจ้าของร้านเงยหน้าขึ้นมาแล้วถามว่า คุณเองหน่ะเหรอที่เป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้ ตั้งแต่ขายมายังไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน ขายจนหมด วางใหม่ก็หมด จนต้องโทรตามกับสายส่ง นี่ยังไม่มาเลย คุณมีสัก 20 เล่มไหม ขอมาวางก่อน เสร็จแล้วก็เรียกพนักงานในร้านมาดูคนเขียน ตึง! โอ้โห ...คุณเอ๊ยยยย.....ได้ยินแบบนี้มันชื่นนนนใจ

แต่เดี๋ยวก่อนนะ เดี๋ยวจะหาว่าอวดตัวเอง คือช่วงนั้นด้วยความที่ว่ามันมีสังคมคนจะไปเรียนอังกฤษอยู่ในเวบไซต์ แล้วเราก็เป็นคนที่คอยช่วยเหลือเด็กในนั้นมาตลอด พอหนังสือจะวางแผงก็มีคนช่วยกระพือโปรโมทใหญ่ ยิ่งพอวางแผงน้องๆที่รู้จักก็แห่ไปซื้อ ซื้อแล้วไม่พอยังมาช่วยเชียร์กันในเวบอีกว่าหนังสือดีสุดๆ ช่วงสองสามอาทิตย์แรกที่วางแผง เลยเจอกับเหตุการณ์อย่างงั้น ตั้งตัวไม่ติดไปชั่วขณะ เพราะกระแสมันแรงมากในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถวๆสยามแสควร์ เพราะกลุ่มเป้าหมายหลักๆอยู่ตรงนี้เลย พูดง่ายๆคือมีหลายปัจจัยให้หนังสือขายได้ ทั้งคอนเนคชั่น ทั้งชื่อเสียงที่พอจะเป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมาย เลยทำให้ได้รับการต้อนรับที่ดีในช่วงวางแผง ไม่เชื่อคุณลองมีหนังสือเองแล้วเจอแบบนี้ดูดิ แล้วจะรู้ว่าความรู้สึกที่เห็นงานสำเร็จ ได้รับการตอบรับ มันดีมากๆ

หมดจากช่วงวางแผงไปสักหน่อยก็จะมีงานเปิดตัวหนังสือ ทางสำนักพิมพ์ก็จะมาเรียกไปว่า นัดเปิดตัวที่ไหน ใครเป็นพิธีกร มีสคริปต์ว่าจะถามอะไร อะไรประมาณนั้น ถึงวันก็ไปตามนัด ขึ้นเวที พูดๆๆ มีคนมาฟัง มีคนเอาของขวัญมาให้ เยี่ยมไปเลย เป็นอีกสเตปงานที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต แต่ดีนะคะ ให้ความรู้สึกที่ดีมาก ส่วนถ้าใครได้พิมพ์ในสำนักพิมพ์ใหญ่ๆ ก็อาจจะมีการโปรโมทตามสื่อต่างๆว่ามีหนังสือใหม่วางแผงเป็นเล่มนี้เล่มนั้นนะ แต่ถ้าเป็นสำนักพิมพ์เล็กๆที่ไม่มีงบอาจจะต้องโปรโมทเอง เหนื่อยเอง ประมาณนี้อ่ะคะ

เชื่อว่าหลายๆคนในที่นี้คงอยากมีหนังสือของตัวเองสักเล่ม หวังว่าบทความที่เขียนคงพอจะให้แนวคิดในการสร้างงานออกมาจนเป็นเล่มได้บ้าง ใครที่กำลังเขียน ก็ขอให้มีผลงานเร็วๆ ใครที่ฝันอยู่ ก็ขอให้พยายามทำความฝันให้เป็นจริง เชื่อว่าถ้าลองทุ่มเทแล้วก็พยายาม ไม่นานก็จะมีผลงานของตัวเองล่ะคะ โชคดีโชคดี