วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2549

วันวานยังหวานอยู่ (1)

วันวานยังหวานอยู่ (1) 9/9/2551

กลับมาเจอกันอีกแล้ว วันเวลานี่มันผ่านไปเร็วนะคะ วันนี้เดี๋ยวก็จะกลายเป็นเมื่อวาน เมื่อวานก็จะกลายเป็นอดีต เดี๋ยวนี้อะไรๆหลายๆอย่างรอบตัวเรามันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เทคโนโลยีเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตเรามากขึ้น ไม่นึกว่าความทันสมัยจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงเราได้ไวขนาดนี้นะคะ ดูสิ แต่ก่อนไม่มีคอมพิวเตอร์หรือมือถือใช้กัน เดี๋ยวนี้ใครไม่มีถือว่าเชย คาดว่าอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า คนจะเป็นง่อยกันทั่วเมือง เพราะสิ่งประดิษฐ์หลายๆอย่างมันทำให้เราสะดวกสบายจริงๆ สมกับยุคดิจิตอล


พูดแล้วก็ทำให้ย้อนนึกถึงเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ตอนสมัยยังเป็นเด็ก สมัยที่ยังไม่มีของเล่นไฮเทคพวกนี้ เราก็ใช้เวลาช่วงวัยเด็กแบบกะโหลกกะลาไปวันๆ เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว นอกจากจะไปโรงเรียน ไปเรียนพิเศษ เล่นกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เล่นกับตัวเอง แล้วก็ไม่มีอะไรให้คิดมากอีกแล้ว ดูแล้วก็ง่ายดี
จนกระทั่งถึงวันนี้ บางอย่างที่เคยสัมผัสในอดีตก็ยังมีให้เห็นอยู่ แต่บางอย่างก็เลือนหายไปกับกาลเวลา เมื่อย้อนนึกถึงแล้วก็เสียดาย อย่างเรื่องของกิน สมัยโน้นมีหลายอย่างที่ประทับใจเจ๊มาก นึกแล้วก็น้ำลายสอ ไอ้เราก็รู้สึกว่าของพวกนี้มันอร่อยเลิศล้ำตอนนั้นน่ะนะ จริงๆถ้าให้มากินตอนนี้อาจจะรู้สึกว่าไม่อร่อยก็ได้ แต่ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่ามันไร้เทียมทานแล้วแหละ อย่างใครเคยอยู่โรงเรียนอนุบาล หรือ อุดรพิทย์ หรือราชินู เคยกินก๋วยเตี๋ยวหลอดมั้ยคะ ที่เค้าเอาใส่ท้ายจักรยานแล้วขายอ่ะ เป็นถุงๆ พอสั่งก็เอากรรไกรทิ่มลงไปในถุง แล้วก็ตัดๆๆอย่างไร้ระเบียบ กรรไกรแบบกรรไกรตัดผ้าหน่ะ แล้วก็เอาซอสใส่ อือหือ ตอนนั้นมันอร่อยจริงๆ ซึ่งถ้ามาถึงตอนนี้ก็อาจเกิดคำถามว่า เอ๊ะ มันสะอาดไหม แล้วกรรไกรที่ตัดมันขึ้นสนิมรึเปล่าหน่ะ ตอนนั้นรู้แต่ว่ามันอร้อยอร่อย ก๋วยเตี๋ยวหลอดอะไรไม่รู้ อร่อยจริงๆ


อีกอันคือไก่ปิ้งหลังโรงเรียน ก็เป็นรถเข็นขายหล่ะคะ ไม้ละ 1 บาท หลังๆเริ่มจะเป็นไม้ละ 2 บาท ตามภาวะเศรษฐกิจ ส่งกลิ่นหอมฉุย หมักกับเครื่องเทศอะไรไม่รู้ รู้แต่โคตรอร่อย วิธีการกินคือเราต้องกัดเอาลวดที่มัดไม้ด้านบนออกก่อน จากนั้นก็กิน เสร็จแล้วถ้ายังเหลือติดไม้อยู่ก็แทะเนื้อติดไม้ออกมา เพราะมันโคตรอร่อย ยิ่งปิ้งไหม้ๆ เกรียมๆ มีดำๆติดบ้างยิ่งอร่อยเหลือหลาย ซื้อทีต้องซื้อ 5 ไม้เป็นอย่างต่ำ จนแม่บอกว่า สงสัยเค้าเอาเนื้อหนูมาทำนะ ขายไปเก็บเอาหนูที่วิ่งๆตามถนนไป เสร็จแล้วเอาไปหมักกับกัญชาแล้วก็เอามาปิ้งขายหลอกเด็ก นับแต่นั้นมาก็เริ่มวิตกจริต เข้าใจว่าแม่พูดจริง เลยค่อยๆเพลาแล้วเลิกกินในที่สุด ถ้าเป็นตอนนี้เหรอ คงรู้สึกว่านี่มันเศษไก่ชัดๆ แล้วก็โอ้โห เขม่าดำติดเต็มเลย มะเร็งแด๊กเลยนะนั่นนะ ตายผ่อนส่ง แต่ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็ก มะรงมะเร็งอะไรไม่รู้จัก รู้แต่จะกินอย่างเดียว


แต่ก่อนสมัยที่อากงยังอยู่ จำได้ว่าตอนสัก 4-5โมงเย็นจะได้กินตือฮวน เป็นอาแปะเข็นมาขายหน้าบ้าน เป็นตือฮวนที่ครบเครื่องมากที่สุดเท่าที่เคยกินมาในชีวิต มีข้าวเหนียวที่ทำเหมือนไส้กรอก แล้วมีถั่วแปะข้างในด้วย ไม่รู้เค้าเรียกอะไรหล่ะ รู้แต่ไม่มีที่ไหนทำอร่อยเท่าเจ้านี้เลย คิดดู ตอนนั้น อย่างมากก็ไม่เกิน ป3. กินตือฮวนได้เป็นชาม เหมือนเป็นอาหารว่าง ถัดมาอีกชั่วโมงสามารถกินอาหารเย็นได้อีกมื้อ แล้วจะไม่ให้มันโตมาเป็นหมูอย่างงี้ได้ไง นอกจากตือฮวนแล้วยังมีเป็ดย่าง อากงชอบซื้อ เป็นรถเข็นมาขายอีกเหมือนกัน ซื้อเป็นตัวเลย ไอ้เราก็จำได้อีกว่ามันเป็นเป็ดย่างที่อร้อยอร่อย ถึงจะได้กินกับเค้าแค่ชิ้นเดียวก็เหอะ วันไหนอากงสั่งเราก็จะตาลุกวาวทันที เดี๋ยวนี้คงไม่มีขายแล้ว แล้วก็จำไม่ได้ด้วยว่าเค้าเลิกขายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นึกแล้วก็เสียดายนะคะ คนสมัยก่อนเค้าทำอาหารด้วยฝีมือ ยิ่งเป็นคนจีนยิ่งมีเคล็ดลับ พิถีพิถัน เดี๋ยวนี้หากินอร่อยอย่างนั้นไม่ได้แล้ว


พูดเรื่องอาหารมีประโยชน์แล้วก็ต้องพูดไอ้ที่ไม่มีประโยชน์ด้วย ใครเคยกินยำยำช้างน้อยบ้างยกมือขึ้น เอ๊ะเดี๋ยวๆ ขอออกตัวก่อนว่าที่ว่าไม่มีประโยชน์คือกินดิบๆ ยิ่งพออัพเกรดเป็นมาม่าหมูสับ หรือมาม่าต้มยำ ยิ่งเหมือนสวรรค์บันดาลส่งความอร่อยมาให้ ความอร่อยอีกอย่างมันอยู่ตรงที่ต้องแอบผู้ใหญ่กิน ไม่งั้นจะถูกด่า อันดับแรกหลังจากได้ห่อมาก็เอามาขยำๆ เสร็จแล้วก็ใส่เครื่องปรุง ตามด้วยน้ำมันหมู แล้วก็เขย่าๆให้เข้ากัน จากนั้นก็ลงมือกิน แอบกินตามซอกในบ้านบ้าง กินนอกบ้านก็ไม่ได้นะ เพราะระแวงว่าผู้ใหญ่ทั้งโลกจะว่าเอา เลยต้องกินในบ้าน กินเสร็จก็ต้องทำลายหลักฐานด้วยการไปยัดในถังขยะ เท่านี้ก็เรียบร้อย แน่นอน โตขึ้นมาถึงได้รู้ว่า ไอ้ที่กินเข้าไปก็เหมือนตัวก่อมะเร็งอีกเช่นกัน แล้วน้ำมันหมูที่จับๆเป็นก้อนอร่อยนักอร่อยหนานั่นนะ กินเข้าไปได้ไง น้ำมันก้อนชัดๆ ถ้าจะกินเราต้องมาทำให้สุกก่อน ใส่ผักใส่เนื้อเพิ่มประโยชน์ให้มันมั่งก็ได้ หรือจะเติมน้ำเยอะๆก็ดี จะได้ละลายผงชูรสเข้มข้นให้เจือจางลง ตอนเด็กๆไม่เคยเข้าใจหรอกเรื่องพวกนี้ รู้แต่อร่อยอย่างเดียว


หรืออย่างลูกชิ้นทอดหน้าโรงเรียนอนุบาล ไม้ละบาทนี่แหม มันอร่อยเหลือเกิน มีทั้งแบบลูกกลม แบบรักบี้ ใครอยากจิ้มแตงกินเท่าไหร่ก็จิ้ม เราก็ไปยืนกินเท่าที่ทุนทรัพย์เรามี แต่ก็กินไม่บ่อยนะคะ อาทิตย์ละไม้บ้างสองไม้บ้าง อายพวกเด็กเซียนกินลูกชิ้น พวกนั้นเค้ายืนเฝ้าแผงกันเลยทีเดียว พอโตขึ้นก็เริ่มกระจ่างเห็นความจริง นั่นมันลูกชิ้นแป้งนี่หว่า ที่กินๆแล้วเข้าใจว่าเนื้อนี่มันแป้งสัก 95 เปอร์เซ็นต์ อีก 5 เปอร์เซ็นต์ เป็นวิญญาณของสิ่งที่เราต้องการกิน ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หมู ไก่ ปลา แล้วก็เริ่มจะเชื่อมโยงสัมพันธภาพระหว่างลูกชิ้นหน้าโรงเรียน กับลูกชิ้นหน้างานทุ่งได้ว่าเป็นสปีชี่เดียวกัน เพียงแต่ลูกชิ้นหน้างานทุ่งสามารถทำให้ใหญ่คับโลกได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตามมันทำให้เราไม่กล้ากินลูกชิ้นแบบนั้น ลูกชิ้นอะไร ใหญ่เท่าส้ม บ้าไปแล้ว


พูดเรื่องกินแล้วก็ต้องพูดเรื่องขนม เคยกินน้ำตาลดัดกันไหม ดัดเป็นลิงนั่งตกปลา อันนี้เป็นโมเดลท๊อปฮิต นอกนั้นก็เป็นตั๊กแตน จระเข้ มังกร แล้วแต่จะสั่ง อยากทราบจริงๆว่าคนดัดไปเรียนที่ไหนมา ดัดได้เหมือนมั่กมั่ก ขนมแบบนี้ได้แต่นั่งดู แต่ไม่เคยกิน เพราะตอนนั้นก็มีจิตสำนึกอยู่ว่านี่มันน้ำตาลนี่หว่า แถมสียังเหมือนสีย้อมผ้า จะกินลงไปได้ยังไง


ขนมอย่างอื่นเท่าที่จำได้ก็มีกาละแมร์ มีแบบขายเป็นรถจักรยานเข็นมาด้วยนะ เอายาวเท่าไหร่ก็ตัดให้ โอ้โห กินกันจนฟันจะหลุด ที่พูดนี่คือแท่งขาวๆ มีถั่วติดอยู่นะคะ กินแล้วก็มันดี กว่าจะหมดแท่งได้ แล้วก็มีน้ำตาลทำเป็นรูปไม้ อันนั้นอร่อยจริงๆ เดี๋ยวนี้เห็นกาละแมร์กับน้ำตาลแท่งขายอยู่ตรงปากทางเข้าสำเพ็ง เป็นแพ็คๆ เลยทีเดียว เด็กสมัยนี้เค้ายังกินพวกนี้อยู่เหรอเนี่ย


ว่าแล้วก็ต้องพูดถึงไอติม ใครเคยกินไอติมโบราณมั่ง เป็นก้อนสี่เหลี่ยม รสกะทิ เผือก อะไรพวกนี้ มันจะมาเป็นแท่งใหญ่ๆยาวๆ แล้วเค้าก็จะตัดแบ่งขายให้เรา ใช้ไม้ลูกชิ้นสองไม้เสียบลงไป ก็จะได้ไอติมมากิน เป็นไอติมที่กินแล้วเลอะเทอะที่สุดในโลก เพราะมันละลายเร็ว ไม่มีที่รองรับ จริงๆแล้วก็ไม่ถึงกับอร่อยมาก แต่ด้วยความเป็นเด็ก เห็นเป็นไอติมก็กิน ปัจจุบันนี้เข้าใจว่าแพ้ทางไอติมวอลล์ เลยต้องออกจากยุทธจักรไป แต่ที่เซ็นทรัลลาดพร้าวเห็นเอามารีเมกใหม่ ทำบู๊ทสะโก้หรูว่าไอติมโบราณ ใครอยากระลึกความหลังก็ลองไปกินได้ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ชั้นใต้ดินค่ะ


ขี้เกียจพูดเรื่องกินแล้ว เปลี่ยนเรื่องมาพูดถึงของเล่นมั่งดีกว่า สมัยเด็กๆถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็ต้องเล่นตุ๊กตากระดาษ อันสวยๆ หาซื้อกันง่ายๆที่ไหนล่ะ ต้องไปซื้อกันถึงในตลาด แล้วคุณผู้อ่านเข้าใจมั้ย การออกจากรัศมีบ้านเกิน 500 เมตร ด้วยตัวเองเราถือเป็นเรื่องแอดเวนเจอร์ น่าตื่นเต้นผจญภัยแล้ว ดีแต่ว่าที่บ้านค้าขาย พ่อแม่ไม่มีเวลามาวิ่งไล่จับ เราเลยได้แอดเวนเจอร์บ่อยๆ ค่อยๆเดินเลียบถนนไป พอถึงเวลาข้ามถนนต้องตัดสินใจอยู่นาน แล้วก็วิ่งปรู๊ด ไปซื้อตุ๊กตากระดาษ ยิ่งถ้าได้แบบสวยๆถูกใจจะยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นเด็กผู้หญิงที่มีของวิเศษกว่าใครเพื่อน ทะนุถนอมตุ๊กตากระดาษอย่างดี เปลี่ยนชุดให้โน่นนี่นั่น โตมาก็ยังงงๆอยู่เลย มันสนุกตรงไหนวะ มิติก็ไม่มี แบนก็แบน ยิ่งกว่าไม้กระดาน แล้วเปลี่ยนชุดให้ได้เรื่อยๆด้วยนะ มีความสุขเหลือเกิน


จนเริ่มมีบาร์บี้ โลกของตุ๊กตากระดาษก็เริ่มเปลี่ยนไป มาร็เก็ตแชร์ต่ำลงเรื่อยๆ จริงๆเราก็ไม่อยากปันใจหรอกนะคะ แต่เห็นบาร์บี้มีหน้าอก มีผม มีก้น มีเอววคอด ใส่ชุดอะไรก็สวย หวีผมก็ได้ เกล้าผมก็ดูดี เท่านั้นหล่ะ อีแบนทั้งหลายตายไปเลย ตายแทบเท้าบาร์บี้ แม่ซื้อให้หนึ่งตัว แต่ไม่มีชุดเปลี่ยน ตามประสาคนใช้จ่ายประหยัดอย่างแม่ที่เห็นว่าถ้าจะซื้อชุดเปลี่ยนมันแพง แม่เลยไปเรียกอี้หมูมาตัดให้ จนได้ชุดสีชมพูฟูฟ่องมา ถูกอกถูกใจเหลือเกิน บาร์บี้เลยมีชุดเปลี่ยนสองชุด โชคดีที่ไม่ค่อยใช่คนฮิตเท่าไหร่ เลยไม่ได้เสียตังค์อะไรมากมายไปกับตุ๊กตาแบบนี้ ไม่รู้ตอนนี้เธอไปตกระกำลำบากที่ไหนแล้วด้วย หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
นอกจากตุ๊กตากระดาษ ของเล่นอีกชิ้นที่ชอบมากคือลูกโป่งวิทยาศาสตร์ ความรู้สึกคือมันหาซื้อยากมาก และมันมีความมหัศจรรย์ในตัวสูง หลอดมันก็ดูจุ๋มจิ๋มน่ารัก บีบออกมากลิ่นก็ห้อมหอม (ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงหอม) แล้วยังต้องใช้ความสามารถสูงในการเป่าให้มันไม่แตก หรือถ้ามีรอยรั่วก็ยังอุดรอยรั่วเป่าต่อได้ วันไหนมันเขี้ยวหน่อยเป่าโยนขึ้นตบสะแบน ให้มันติดมือเป็นแผ่นๆ ซาดิสถ์มาจากไหนไม่รู้ ลูกโป่งนี่ก็เป็นของเล่นอีกชิ้นที่ต้องผจญภัยไปซื้อกันในตลาด

นอกจากของเล่นพวกนี้บางทีก็เล่นกับพวกพี่ชาย ซึ่งมักไม่ค่อยเสียตังค์เท่าไหร่ ด้วยความที่เป็นน้องเล็กไม่รู้จะเล่นกับใคร นอกจากพี่ชายทั้งหลาย เค้าก็ดีนะ ยอมให้เล่นด้วย อย่างเล่นลูกตบ ก่อนอื่น ต้องทำลูกตบด้วยการเอาหนังสือพิมพ์มาขยำๆให้มันเป็นก้อน จากนั้นก็เอาถุงก๊อปแก๊บมาห่อให้มันเป็นลูกแข็งๆ ห่อทบไปทบมาแล้วก็ใช้ยางรัดจนมันเป็นลูก จากนั้นก็แบ่งฝ่ายกันเล่น เอาจริงเอาจังกันมากเหมือนชิงถ้วยระดับโลก บางทีก็เล่นจระเข้ไล่จับ ซ่อนหา เล่นไปเล่นมาไอ้เราก็งี่เง่าไม่อยากเป็นตัวนั้นก็นอนแผ่มันตรงฟุตบาทหน้าบ้านลย จนพี่ชายรำคาญทำเป็นแพ้ เราก็กลายเป็นอีกฝ่าย หน้าระรื่นทีเดียว ไม่สำนึกอะไรเลยนะ ถ้าเป็นผู้ใหญ่เค้าเรียกว่าหน้าด้านเลยล่ะ บางทีก็เล่นผีถ้วยแก้ว น้ำเต้าปูปลา เล่นกินเงินกัน เป็นหนี้เค้า 5 บาท ถือเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตทีเดียว โดนทวงเช้าทวงเย็นจนลูกหนี้หน้ามืด ไม่รู้จะไปหา 5 บาทมาจ่ายจากไหน นอกจากนี้ก็มีเป่าหนังยาง ดีดเม็ดมะขาม หยอดขนมครก รีรีข้าวสาร จระเข้กินหาง เล่นมาหมดแล้ว จะขาดอย่างเดียวก็แต่ม้าก้านกล้วย ไทยไปหน่อย

โตขึ้นมาหน่อยพี่ชายฮิตตัดสติ๊กเกอร์ ก็เอากับเค้ามั่ง พวกผู้ชายเค้าตัดรูปกันดัม เซนต์เซย่า เราก็ไปหามิกกี้เมาส์ โดนัลดักค์มาตัด วิธีการคือต้องเอาลายซึ่งหาได้จากสมุดระบายสีไปแปะบนสติ๊กเกอร์ แล้วก็ใช้คัตเตอร์กรีดตามลาย จนได้เป็นเส้น จากนั้นถ้าอยากได้แบบมีพื้นก็เอาลายที่เราตัดแล้วไปติดใส่สติ๊กเกอร์อีกสี โอ้ยยย สวยจะตาย


มีบางช่วงเค้าฮิตโดดหนังยางกัน เห็นเพื่อนที่โรงเรียนโดดกันแบบทีมชาติอย่างนั้นก็ฮึกเฮิม แต่ไม่สามารถไปขอเค้าเล่นได้ กลัวเสียหน้า เลยต้องกลับมาเล่นคนเดียวที่บ้าน เอายางมาทำเป็นเส้นแล้วก็ไปผูกกับกลอนประตู ค่อยๆไล่ระดับขึ้นไป ทำเหมือนมีคนเล่นด้วย จากขา เริ่มมาเข่า เอว อก ไหล่ ติ่งหู (ไม่ทราบใครคิดระดับนี้ วานบอก) หัว พอเข้าขั้นแอดวานซ์ก็ต้องทำแบบโดดกลับไปกลับมาสลับฟากต่อๆกันได้โดยยางไม่หลุดจากตัวและไม่พันตัว อย่างกับหมาไล่กัดหางตัวเอง เซียนมาก ให้ย้อนกลับไปคิดไม่ทราบเล่นไปได้ยังไงเด็กสมัยนั้น วนไปวนมา แต่ก็สนุกของเราล่ะ ใครโดดได้สูงนี่โคตรเซียน เพื่อนๆต้องซูฮก เราจริงจังกันถึงขั้นใส่กางเกงซ้อนในกระโปรงนักเรียนไปโรงเรียน พอถึงเวลาเล่นก็อู้ยย ถลกกระโดดกันมันไปเลย

แต่ถ้าเป็นเด็กผู้ชายเหรอ เรารู้นะว่าคุณไปอยู่ไหน ร้อยทั้งร้อยอยู่อมรเกมส์ ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็เหมือนร้านอินเตอร์เนต ผู้ใหญ่ไม่เข้า กลุ่มเป้าหมายคือเด็กหัวเกรียน หาตังค์เองยังไม่ได้ นั่งหน้าสลอนกันเป็นชั่วโมง ย้อนกลับไปในอดีตก็ต้องอมรเกมส์ อยู่กันได้เป็นวันๆ ที่รู้คือขี่จักรยานตามพี่ชายไป ไม่ได้เข้าไปหรอก กลัวเด็กผู้ชาย ก็จะไปขี่จักรยานวนๆเวียนๆอยู่หน้าร้านอย่างนั้นแหละ เห็นเค้าอยู่กันได้เป็นชั่วโมง เราก็วนอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมงเหมือนกัน เคยไปนั่งเฝ้าเค้าที่ร้านขายข้าวแล้วมีเกมส์ให้เช่าเล่นแถวบ้าน พี่ชายสองคนเล่นกันแบบเอาเป็นเอาตาย มีสิบกว่าด่าน จนด่านสุดท้าย เจอไอ้ตัวหัวหน้า ใกล้จะฆ่ามันได้แล้ว เราก็นั่งๆอยู่นึกไรไม่รู้กดรีโมทกึ๊กเดียว ภาพหาย จอหด หมดกัน งานนั้นโดนด่าสะไม่เหลือแผ่นดินจะอยู่ ผ่านไปอีก 3 วัน ก็ยังโดนด่าอยู่อย่างนั้น ข้อหาไปกดอะไรมั่วซั่วทำให้เค้าเล่นเกมส์กันไม่จบทั้งที่จะจบอยู่แล้ว เซ็งเป็ด เราก็จ๋อยสิ โตขึ้นมาถึงได้รู้ว่า ไอ้การกดรีโมทแค่นั้นมันไม่ทำให้เกมส์หยุดได้หรอก มันแค่เปลี่ยนโหมดไปเป็นทีวี กดปุ่มกลับไปก็เล่นเกมส์ต่อได้แล้ว แต่ตอนนั้นเป็นเด็ก ไม่รู้ ก็ทนให้เค้าด่าไปตามระเบียบ แต่ก็ยังเดินตามเค้าไปไหนมาไหนอยู่ต้อยๆ

นึกแล้วก็คิดถึงอดีต ยังมีอีกหลายเรื่องหลายอย่างให้หวนระลึกถึง บางเรื่องตอนนั้นมันกลายเป็นเรื่องหญ้ายยยใหญ่สำหรับเรานะ เรียกได้ว่าคอขาดบาดตาย พอโตขึ้นได้มองย้อนกลับไปก็เอ่อนะ เรื่องแค่นั้น ทำไมตอนนั้นต้องจะเป็นจะตายด้วย อย่างแค่โดนพี่ชายแกล้งก็คิดถึงขั้นฆ่าตัวตาย หนีออกจากบ้าน อยากรู้ว่าแม่จะเสียใจไหมถ้าไม่มีเรา ทำไปได้เนาะ แต่บางเรื่องก็ทำให้เราหัวเราะได้ ของบางอย่างยังไม่เลือนหายไป พอได้เห็นแล้วก็คิดถึง แต่ก่อนในอุดรมีห้างใหญ่ห้างเดียวคือเจริญศรีพลาซ่า อาทิตย์นึงจะไปสักทีนึง ดังนั้นช่วงเวลาหลักๆของเราเลยอยู่กับร้านโชว์ห่วยแถวบ้านมากกว่า มีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปซื้อขนม ซื้อทอฟฟี่สามเม็ดบาท ซื้อของเล่นบนแผง ซื้อตุ๊กตากระดาษในตลาด อะไรแบบนี้ เดี๋ยวนี้วิถีชีวิตเปลี่ยนไป แต่ทุกวันก็กำลังจะกลายเป็นความทรงจำสำหรับอนาคต ไม่รู้ว่าลูกสาวจะโตขึ้นมาแบบไหนเหมือนกันนะคะ ไว้ฉบับหน้า เรามาต่อเรื่องวันวานยังหวานอยู่อีกสักตอนแล้วกัน ให้เขียนอีกสี่หน้าก็ยังเขียนไม่จบหรอกค่ะ แล้วเจอกัน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น