วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2549

ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน

ไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน 24/11/2550

เมื่อสักประมาณกลางเดือนตุลาที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่นอีกครั้งหลังจากที่เคยไปมาแล้วรอบหนึ่ง รอบแรกที่ไปเป็นเส้นทางฮิต โตเกียว – โอซาก้า บางคนอาจจะไปโอซาก้า-โตเกียว มันก็คือๆกันนั่นแหละคะ แค่ย้อนเส้นลงมาแค่นั้นเอง เส้นทางที่ว่านี่มันเบเบ รู้จักศัพท์วัยรุ่นกันไหม เบเบย่อมาจากเบสิค ธรรมดาๆ ใครๆก็ไป เส้นทางที่ไปครั้งใหม่นี่คือ ฮิโรชิม่า ฟูกุโอกะ ถ้าเปรียบกับเมืองไทยอ่ะนะคะ ก็เหมือนกับรอบก่อนเรามาเที่ยวภาคกลาง รอบต่อมาอาจจะมาเที่ยวภาคใต้ ถ้าชอบจริงๆเดี๋ยวมาใหม่ก็ไปภาคเหนือ แต่ละภาคเค้าก็มีสถานที่หรือของขึ้นชื่อของเค้าเหมือนกัน

ทริปที่ไปป็นทริปลาวแตก มีแต่ไทยอุดรทั้งนั้น ลูกทัวร์คนอื่นได้ฟังเสียงในฟิล์มกันจนแทบจะพูดได้เลยล่ะ เรียกว่าเป็นทริปคนกันเอง เราบินไปกับบางกอกแอร์เวย์ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เพื่อไปลงที่ฮิโรชิม่า พอเครื่องบินจะร่อนลงนะคะคุณ คือแบบว่าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิตไง กัปตันบอกเราจะลงแล้วนะครับ แต่สิ่งที่เห็นข้างล่างคือภูเขาหลายๆลูกเรียงสลับกันไปสุดลูกหูลูกตา คือไม่ใช่พื้นที่แบบราบเรียบแห้งแล้ง แต่นี่มันคือภูเขาเขียวๆทั้งนั้น แล้วเครื่องบินก็บินใกล้มาก เอาว่าแค่เห็นก็การันตีได้แล้วว่าข้างล่างอากาศดีแน่นอน

ฮิโรชิม่าเป็นเมืองเล็กๆอ่ะนะคะ อย่างที่หลายคนคงทราบคือ เป็นเมืองที่โดนนิวเคลียร์ บอมบ์จนราบพนาสูญมาก่อน ทุกวันนี้ทุกอย่างค่อนข้างฟื้นฟูกลับมาหมดแล้ว แต่ผลจากการบอมบ์ในอดีตก็ยังทิ้งร่องรอยไว้ให้คนรุ่นปัจจุบันได้รู้สึกกันอยู่ วันแรกที่เราไปจะอยู่ในเมืองฮิโรชิม่ากัน ทัวร์ก็พาไปที่สวนสันติภาพ ไปดูซากตึกที่เค้ายังเก็บไว้ คือโดนบอมบ์แล้วเหลือยังไงก็เก็บไว้ให้ดูอย่างนั้น มีอนุสาวรีย์รูปเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ใครอยากรู้ว่าทำไมนกที่เราพับๆจึงสื่อถึงเรื่องสันติภาพก็มาจากเด็กคนนี้นี่แหละ คือเธอโดนรังสีจากนิวเคลียร์ แต่รอดมาได้ ไม่ได้ตายทันที ถึงอย่างนั้นหนูน้อยคนนี้ก็ต้องทนทุกข์จากรังสีที่ได้รับ แล้วก็เกิดความเชื่อว่า การพับนกให้ได้หลายๆตัว จะช่วยให้เธอรอดพ้นจากความทุกข์ทรมาน เธอก็พับไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเธอก็ตาย ทางการเลยสร้างอนุสาวรีย์ไว้เพื่อระลึกถึงเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ต้องมาตายเพราะสงคราม ทุกวันนี้หลายๆโรงเรียนจะจัดทริปให้เด็กๆไปชมสวนสันติภาพ แล้วก็ปลูกฝังให้รักในสันติ ต่อต้านสงคราม เพราะคนที่นี่เค้าได้รับผลโดยตรง เด็กๆก็จะไปกันเป็นกรุ๊ปใหญ่ๆ มีเด็กออกมาพูดหน้ากลุ่ม มีเด็กออกมานำร้องเพลง มีพับนกเป็นพวงๆมาวางไว้หรือห้อยไว้ที่นี่ สวยมากๆ

แล้วกรุ๊ปเราก็มีโอกาสได้เข้าไปดูวีดีโอ แหมมันช่างหดหู่ แต่ก็ดูนะ ภาพบางภาพยังติดตาทีเดียว เค้าก็ฉายให้ดูสมัยเมื่อยังเป็นเมืองสวยๆ จนสหรัฐสั่งบอมบ์ ที่เลือกเมืองนี้เพราะอยู่ไกลจากเมืองใหญ่ และประชากรยังไม่มาก เอาแค่พอสั่งสอน ไม่ได้อยากฆ่าแกงกันให้ตายทั้งประเทศ เพราะคนที่โดนก็ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ นิวเคลียร์ลูกนั้นชื่อ “ลิตเติ้ล บอย” พอทิ้งลงมาจากฟ้า เมืองทั้งเมืองก็ราบ บนแม่น้ำมีปลาตายพร้อมกับศพลอย บางคนที่ไม่ตายก็เดินเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เลือดอาบตัว บางรายก็เป็นแผลเหวอะหวะน่ากลัว แต่ยังไม่ตาย แล้วคุณรู้มั้ย กว่าพวกฝรั่งจะเข้าไปเคลียร์พื้นที่ คือสั่งบอมบ์เสร็จแล้วเข้าไปวิจัยต่อนี่ก็คือหนึ่งเดือนให้หลัง ช่วงหนึ่งเดือนก่อนนั้นพวกรอดตายเค้าอยู่กันยังไงล่ะ ผลจากการโดนนิวเคลียร์มีทั้งที่เกิดทันทีกับที่ค่อยๆเกิด คนที่รอดตายจากเหตุการณ์บางส่วนค่อยๆล้มตายลงอย่างช้าๆหลังจากนั้นไม่นาน เพราะรังสีเข้าไปทำลายระบบหลายอย่างข้างในร่างกายมนุษย์ เหมือนค่อยๆฆ่าให้เค้าตายลงอย่างช้าๆ ลูกหลานบางส่วนต่อๆมาก็ยังมีปัญหาเรื่องโรคลูคิเมียอยู่ คนที่นี่เลยต่อต้านการทำสงครามอย่างหนัก

เป็นไงล่ะ เครียดใช่ไหม อะแหม... พอแค่นี้ก็แล้วกันนะคะ จะได้ไม่เครียด เดี๋ยวพูดเรื่องอื่นๆต่อ แต่จะไม่ขอเล่าเรื่องทริป 5 วันนี่ทั้งหมดหรอกนะคะ จะเล่าเป็นหัวข้อๆไปดีกว่า เรี่องต่อไปมาเรื่องวัด ไปญี่ปุ่นก็ต้องไปวัด รู้ตั้งแต่ทริปเบเบครั้งแรกแล้วว่าเป็นยังไง วัดที่นี่ก็สวยงามดี มีการอนุรักษ์ไว้ดี แต่ไม่ได้เจิดจรัสวิบวับเหมือนวัดบ้านเรา แต่ละวัดก็มีความดังแต่ละเรื่อง เช่น วัดนี้ดังเรื่องขอลูก วัดโน้นดังเรื่องสติปัญญา อย่างวัดที่ดังเรื่องว่าขอให้มีสติปัญญาดี เรียนเก่ง พวกพ่อแม่ก็จะพาลูกๆมา คงเป็นประเพณีเค้าอ่ะนะคะ หลายคนเอาผ้าสวยๆห่อเด็กทารกมาเลย ส่วนเด็กโตมาสักหน่อย ก็จะแต่งชุดกิโมโนมา น่ารักมากๆ ขนาดคนญี่ปุ่นเห็นยังกรี๊ดกร้าดเด็กๆกันใหญ่ วัดพวกนี้ก็เหมือนวัดไทย คือมีเครื่องรางของขลังขายเป็นแผง แต่ของเค้าจะเป็นไรที่โนะเนะ เป็นถุงผ้าสวยๆไว้พกเวลาไปสอบอะไรอย่างงี้

แต่สำหรับคนไทย วัดไหนก็เหมือนกัน แล้วทุกวัดของญี่ปุ่นก็จะมีแพทเทิร์นเหมือนกันหมด คือ 500 กิโลเมตรก่อนถึงทางเข้าวัด จะเต็มไปด้วยร้านรวงขายของที่ระลึก ขนม ตุ๊กตา มากมาย ใจของนักเที่ยวไทยมักไปไม่ถึงวัด เผลอนิดเผลอหน่อยก็จะแวบเข้าร้านให้ได้ เข้าใจว่าหลายคนคงต้องสะกดกลั้นอย่างมาก มันต้องใช้ความอดทนขั้นสูงทีเดียว แต่ก็ต้องเดินเข้าวัดไป เพราะเรามาเที่ยววัด เวลาที่ทัวร์ให้ 45 นาที หมดไปที่วัด 15 นาที อีก 30 นาที ตามได้ที่ร้านรวงหน้าวัด ส่วนใหญ่แล้ว 30 นาทีมักจะไม่พอ ขอต่อเวลาอีกสัก 15 นาที ญี่ปุ่นเค้าก็ฉลาดนะ เพราะของน่าซื้อส่วนใหญ่ก็อยู่ที่หน้าวัด แล้วทุกที่ต้องมีร้านคิตตี้ คาดว่าจะเป็นแมวเศรษฐกิจของญี่ปุ่น นอกจากแมวกวักแล้วก็มีแมวคิตตี้นี่แหละที่สร้างจีดีพีให้กับประเทศ ประเทศไทยควรจะสร้างแบรนด์แมวสีสวาทหรือแมววิเชียรมาศบ้างเพื่อมาชนกับแมวคิตตี้ของญี่ปุ่น

พูดเรื่องของซื้อของขายแล้วก็ต้องพูดเรื่องผลไม้ ผลไม้ที่นี่อร่อยล้ำ เพราะดินส่วนใหญ่มีแร่ธาตุชั้นดี เหมือนจะเป็นดินภูเขาไฟ ลูกพลับลูกละ 150-300 เยน อร่อยแทบน้ำตาไหล ใครไปญี่ปุ่นแนะนำให้เอามีดปอกผลไม้ใส่กระเป๋าใหญ่โหลดไป แหมมันอร่อยทุกอย่าง ทั้งลูกพลับ สาลี่ แอปเปิ้ล ขนาดสับปะรดยังอร่อยเลย มีเมล่อนอีก องุ่นบางพันธ์กินแล้วอย่างกับกินไวน์ กัดเข้าไปคำนึงแหม...มันไวน์ดีๆนี่เอง พอกลับมาเมืองไทยอยากกินลูกพลับญี่ปุ่น โอ้โห ลูกละ 299 บาท ราคามันช่างต่างอะไรอย่างงี้ ไปคราวหน้าจะไม่ลืมเอามีดไปเลยพับผ่าสิ เจ๊เซ็งตัวเองมาก จะกินให้มันได้สักวันละ 3 ลูก

นอกจากวัดแล้วเราก็ไปสวนสนุกชื่อ เฮาส์เทนบอช เหมือนเอายุโรปมาไว้ที่ญี่ปุ่น สวยมาก สวยอย่างแรง แต่ไม่ได้มีเครื่องเล่นผาดโผนอย่างยูนิเวอร์แซลหรอกนะคะ มีแต่อันประถมๆ ไม่ได้ใจหรอก ไปนี่ก็ไปดูวิว เค้าทำไปได้นะ ทุกอย่างเหมือนยุโรป สวยงาม ร้านรวงมากมาย ดอกไม้เต็มทุ่ง ใครไปแถบนี้อย่าลืมไปดูกันให้ได้

มีที่เที่ยวอีกที่หนึ่งที่ทริปไหนๆก็ต้องแวะไปนั่นคือปราสาท ญี่ปุ่นคงมีโชกุนเยอะ เลยมีปราสาทแยะ แต่โดยรวมการสร้างปราสาทของญี่ปุ่นก็คล้ายๆกัน คือมีคูน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบ มีการก่อกำแพงหินขนาดใหญ่ แล้วก็กว่าจะไปถึงตัวปราสาทได้ก็ต้องเดินกันหงิกทีเดียว เข้าใจว่าโชกุนสมัยก่อนต้องสู้รบกันอยู่บ่อยๆ เลยต้องมีปราสาทไว้ป้องกันตัวเองด้วย แต่ที่ไม่ชอบอย่างคือปราสาทส่วนใหญ่ เวลาเข้าไปข้างในแล้วมันไม่เหมือนเดิม ไม่ค่อยเหมือนปราสาทที่ยุโรปที่ยังมีเฟอร์นิเจอร์ของแต่ละห้องไว้ครบชุด ขนาดห้องครัวยังอุตส่าห์ปั้นไก่ ปั้นขาหมูไว้ให้จินตนาการ เคยไปปราสาทที่อังกฤษ ขนาดส้วมของพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด เรายังเห็นเลยว่าเค้านั่งกันยังไง เตียงที่ใช้บรรทมนี่ตกลงมาอาจคอหักตายได้ เพราะสูงโพดสูงเหลือ แต่ที่ญี่ปุ่น ข้างในปราสาทเค้าจะเอารูปๆมาวาง เอาโน่นเอานี่มาจัดแสดง เลยไม่สามารถจินตนาการได้ว่าแต่ก่อนอยู่กันยังไง ต้องกลับมาดูอิกควิวซังแล้วค่อยนึกภาพเอา ประมาณนั้น

จะว่าไปเส้นทางที่ว่าถ้าเทียบกับโตเกียว-โอซาก้าแล้ว ความสนุกอาจจะไม่เท่าเส้นทางโน้น เพราะอันนั้นมีทั้งดิสนีย์แลนด์ ทั้งยูนิเวอร์แซล ได้เข้าไปอยู่เมืองหลวง เห็นคนแบบเมืองกรุง จริงๆแค่สวนสนุกมันก็กินขาดไปแล้ว แต่ฟูกุโอกะกับพื้นที่แถบนี้จะเป็นแบบลูกทุ่งๆ ถึงฟูกุโอกะจะเป็นเมืองใหญ่ของเขตนี้ แต่ความหลากหลายอะไรมันก็น้อยกว่า เหมือนเที่ยวอิสานกับเที่ยวกรุงเทพนั่นแหละ ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เราต้องยอมรับแล้วก็อยากให้มีในบ้านเราคือ อากาศ ภูมิประเทศ ความสะอาด ความเป็นระเบียบ แล้วก็ห้องน้ำ (โดยเฉพาะห้องน้ำในโรงแรม)

เอาเรื่องอากาศก่อนแล้วกัน อากาศที่นี่ดี้ดี สูดหายใจเข้าได้เต็มปอดตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ยกเว้นกลางถนน อากาศเค้าดีจริงๆนะ อยากจะเก็บใส่กระป๋องเอามาสูดต่อ ดีต่อสุขภาพมากๆ ช่างต่างจากกรุงเทพราวฟ้ากับเหว เหมือนประเทศนี้จะไม่มีปัญหาเรื่องโลกร้อนเลย แต่พ่อบอกว่า ญี่ปุ่นนี่แหละตัวดี สร้างมลภาวะปีนึงๆไม่รู้เท่าไหร่ ก็พี่แกเล่นผลิตรถออกขายปีละกี่สิบล้านคันล่ะ นอกจากขายประเทศตัวเองแล้วยังเผื่อแผ่เค้าไปทั่วโลกอีก เอ่อ มันก็จริงนะ

ส่วนเรื่องภูมิประเทศที่อยู่ หรือแม่น้ำลำคลอง อันนี้ก็หายห่วง ยังล้าหลังคลองแสนแสบอยู่มาก กว่าจะพัฒนาได้อย่างคลองแสนแสบคงต้องรออีกสัก 100 ปีสำหรับญี่ปุ่น ที่นี่ไม่ว่าคลองไหน แม่น้ำอะไรก็ดูสวยใสสะอาด ริมถนนมีต้นไม้ใหญ่ ยิ่งหน้าซากุระนี่ก็จะสะพรั่งไปทั้งเมือง พอปลี่ยนฤดูปลายปี ใบไม้ก็จะป็นสีแดง นักท่องเที่ยวเลยนิยมไปเที่ยวประเทศนี้อยู่สองช่วง คือช่วงดอกซากุระบานต้นปี กับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีปลายปี เรื่องขยะอะไรนี่ก็ไม่ค่อยมี เค้าดูแลกันดีมาก แล้วที่เห็นว่าภูมิประเทศมีภูเขาหลายลูกยังไงตอนอยู่บนเครื่องบิน ลงมาข้างล่างก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่นะ ตอนแรกคิดว่ามิต้องนั่งรถอ้อม หรือไม่ก็ข้ามภูเขากันอ้วกแตกเลยเหรอ แต่เปล่าเลย ญี่ปุ่นเค้าขึ้นชื่อเรื่องเจาะอุโมงค์รอดภูเขา เห็นภูเขาลูกไหนเป็นรถวิ่งผ่านได้หมด แกเลยมาช่วยเจาะทำรถไฟฟ้าใต้ดินให้เมืองไทยไง

ใครที่เคยไปเมืองจีนคงนึกสะพรึงกลัวเรื่องห้องน้ำ แต่มาที่ญี่ปุ่นนี่ไม่ต้องคิดมากเลย ห้องไหนก็เข้าได้ อย่างเลวที่สุดคือมีกลิ่น แต่ข้างในสะอาด ชอบส้วมแบบที่เข้าไปแล้วนั่งยองๆ ไม่ต้องขึ้นคอห่านที่ยกพื้นขึ้นมา ของที่นี่คอห่านฝังดิน น้ำเวลาเราชักโครกก็ออกมาเต็มที่ ไม่ต้องเหลือร่องรอยอะไรไว้ให้คนต่อไปได้ดูต่างหน้าเลย แต่ที่เด็ดสุดนี่คือห้องน้ำในโรงแรม ที่โรงแรมห้องน้ำเป็นแบบเลือกโหมดได้ แถมฝารองนั่งยังมีระบบอุ่นตูดอัตโนมัติ คือนั่งแล้วตูดอุ่น สบายนะ เมืองหนาวนี่ถ้าเจอที่รองนั่งเย็นอีกคงเกิดอาการสะเดิด นี่นั่งไปแล้วอุ่นๆก็เอ้อ...นั่งแล้วไม่อยากลุก พอเสร็จกิจก็มีปุ่มน้ำพุ่งชำระล้างให้เลือก ผู้หญิงต้องปุ่มนี้ ผู้ชายต้องอีกปุ่ม มีระดับความแรงของน้ำให้ปรับ เห็นอาอึ้มเค้าเทสต์กดน้ำ โอ้โห น้ำพุ่งติดเพดาน อะไรจะแรงขนาดนั้น แต่เรื่องชักโครกนี่ต้องบอกแม่ แม่ชอบและเชี่ยวชาญมาก เห็นว่าที่ทูลโปรพลัสก็มีขาย ใครอยากเอาไปติดตั้งที่บ้านก็ไปเลือกซื้อหากันได้ตามสะดวก

ไปญี่ปุ่นกลับมาก็ต้องมีของฝาก ผู้คนอย่างเราๆท่านๆมักจะไปเสียผีกันในซุปเปอร์มาเก็ต ต่อให้ไม่ชอปยังไง พอเข้าซุปเปอร์แล้วเป็นต้องหอบกันพะรุงพะรัง เพราะของเค้าน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ เท่าที่ประมวลมาจากญาติพี่น้องได้ ของท็อปฮิตที่มักจะซื้อกันคือ ชาข้าวญี่ปุ่น กาแฟ ผงโรยข้าว หมากฝรั่ง ข้าวเกรียบคาลบี้ ปีอกกี้รสประหลาด บางคนกวาดสาหร่ายเขียวๆไปทำซุป ขนมกรุบกรอบ เค้าว่าคาลบี้ที่นี่ใส่ผงชูรสน้อยกว่าที่ไทย เลยกวาดกันมาซะเกลี้ยงชั้นเลยทีเดียว

นอกจากของกินแล้วก็จะเป็นเรื่องของเครื่องสำอาง สบู่ แชมพู ยาสีฟัน ยาประเภทต่างๆเช่นคลายกล้ามเนื้อ คลายปวดเมื่อย เครื่องสำอางอย่างชิเชโด้ก็ถูกกว่าเมืองไทยมาก

แต่ถ้าของฝากข้างนอกก็ต้องเป็นเรื่องของโอทอป และสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้นคือแป้งห่อถั่ว หรือถั่วห่อแป้ง คนเขียนคนนึงล่ะไม่ชอบ แต่ถ้าเป็นแป้งห่อมันเทศทำใหม่ๆ อันนั้นต้องขอยกเว้น กินลืมตาย ถ้าไปทางสายโตเกียวก็อาจจะเป็นพายปลาไหล นั่นก็กินลืมตายเหมือนกัน มีหลายคนที่ซื้อตุ๊กตาญี่ปุ่นกลับมา เพราะหน้าเธอกลมมนเหมือนกับเปลือกไข่อันนวลเนียน บางคนก็อาจจะซื้อแมวกวัก นกฮูก แรคคูน สัตว์แต่ละตัวมีความหมายแต่ละอย่างสำหรับคนแถวนี้ ส่วนคนเขียนก็เอาแต่คิตตี้ โดเรมอน เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่โตไง

แต่มีของฝากอยู่ลอตนึงที่พลาดไม่ได้เลยนะ คือพวกของฝากที่ขายกันในรถทัวร์เนี่ยล่ะคะ ไกด์จะเป็นคนเอามาขายเอง คงเป็นบริษัทที่ผลิตเพื่อลูกทัวร์โดยเฉพาะ อย่างถั่วพิทาชิโอ กินได้ไม่หยุด เป็นซองสีเขียวๆ กับที่ฮิตมากๆคือทาโร่ไส้งา ขนมอะไรอร่อยอย่างกับต้องมนต์ ใครกินเป็นหมดถุง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเจรจากับไกด์นะ ไกด์บางคนอาจจะไม่บอกไงว่า มี เดี๋ยวจะพลาดของดีๆไป

เรื่องสุดท้ายมาพูดเรื่องอาหารการกินมั่งดีกว่า หลายคนคงถูกใจอาหารญี่ปุ่น ถ้าไปยุโรปนี่ยอมอดตายกันไปข้าง เพราะอาหารไม่โดนปากอย่างแรง แต่ญี่ปุ่นนี่ถึงไหนถึงกัน เค้ามีทั้งย่าง ต้ม อาหารพื้นเมืองคล้ายๆเทปันยากิ แต่ที่นี่เค้าเรียกโอโนมิยากิ (ถ้าผิดก็ขออภัย) มันจะเป็นโต๊ะ ข้างหน้าเราเป็นเหมือนที่เค้าไว้ทำขนมโตเกียวหน่ะ แต่เป็นแผ่นเหล็กร้อนๆอย่างนั้นรอบโต๊ะ เค้าก็จะทำอาหารให้เราดูข้างหน้า แล้วก็เอามาเสิร์ฟข้างหน้าเลย อาหารก็จะร้อนตลอดเวลา แต่มื้อที่ถูกใจจ๊อดสุดก็คือมื้อสุดท้าย เป็นปูยักษ์ ใครไปญี่ปุ่นให้เลือกทัวร์ที่พาไปกินปูยักษ์ด้วยนะ ไม่งั้นเสียเที่ยว ตอนไปโตเกียวก็ได้กินแบบไม่อั้นในโรงแรม แต่มาที่ฟูกุโอกะได้กินในร้าน ถึงมีจำกัดแต่ก็กินกันแทบจะไม่หมดอยู่แล้ว ใครปากดีหาว่าเค้าให้น้อยนี่ต้องลองกินกันก่อน เห็นสุดท้ายต้องมานอนผึ่งพุงกันทุกราย เนื้อปูยักษ์ที่นี่หวานมากๆ กินแล้วละลายหายไปในปากได้ ใครจะเชื่อ ต้องไปลองเองแล้วจะรู้ว่าจริง อร่อยล้ำ อย่าลืมบีบมะนาวลูกเหลืองๆลงไปนิดๆนะคะ แซบ ปกติในครอบครัวเรามีแม่เป็นมนุษย์กินปู แม่จะห้ามจิตห้ามใจไม่อยู่กวาดปูเรียบจนเค้าเอาโถเปลือกปูไปเทสองรอบก็แล้ว สามรอบก็แล้ว มนุษย์กินปูก็ยังกินได้ต่อไป การันตีว่าอร่อยจริง

ญี่ปุ่นนี่เสียอย่างเดียวนะ คือพูดภาษาอังกฤษกันไม่คล่อง ไม่งั้นจะเที่ยวกันง่ายกว่านี้ แล้วพี่แกก็ยืนยันจะพูดญี่ปุ่นอยู่อย่างนั้น ตูไม่รู้เรื่องก็ยังจะโนะเนะอยู่ ฉันล่ะงง จนสุดท้ายต้องใช้ภาษามือสื่อสุดฤทธิ์ กว่าจะได้ของแต่ละอย่าง อย่างอื่นก็ดี น่าเที่ยว เป็นประเทศที่มีเสน่ห์ในตัวเองอย่างเหลือเชื่อ ใครไปแล้วต้องอยากไปอีก เพราะมันน่าประทับใจ นี่เห็นคุณพ่อคุณแม่ร่ำๆว่าอยากไปฮอกไกโด โดยได้รับอิทธิพลมาจากแดน บีม สองคนนี้ทำรายการเที่ยวแล้วไปมา เลยอยากไปแบบแดนบีมมั่ง คนนึงอยากไปธันวา อีกคนอยากไปกุมภา ลูกเลยตัดสินให้ไปกุมภาสะ ไปทำไมธันวา หนาวตายเลย หนาวมากมันสนุกเสียเมื่อไหร่ ใช่มะ ใครอยากไปไปขอสมัครเป็นลูกทัวร์ได้ แต่ตอนไปตัวใครตัวมัน ดูแลกันเอง ตายายเค้าจะสวีทกัน....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น